ในยุคที่ทุกอย่างดูเร่งรีบและการเข้าถึง "ยา" เป็นเรื่องง่าย ๆ ผู้ป่วยโรคไตในประเทศไทยกลับมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างน่าตกใจ จากข้อมูลสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยและกระทรวงสาธารณสุขในช่วงปี 2565-2567 มีคนไทยที่ป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังในระยะต่าง ๆ มากถึงร้อยละ 17.6 หรือราว 10 ล้านคน และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยสาเหตุทั้งพฤติกรรมการบริโภค โรคภัยไข้เจ็บ และการใช้ยาไม่เหมาะสม
สาเหตุที่หลายคนมองข้ามคือ "การใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผล" ซึ่งเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่ค่อย ๆ ทำลายไตของเราโดยไม่รู้ตัว แล้วยาชนิดไหนที่เป็นตัวการ เราจะป้องกันตัวเองจากภัยเงียบนี้ได้อย่างไร และหากไตเริ่มเสื่อมแล้ว มีโอกาสฟื้นฟูกลับมาได้หรือไม่ ? มาหาคำตอบกัน
"ยา" ตัวการทำลายไตซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวัน
ยาที่เราคุ้นเคยและหาซื้อได้ง่าย ๆ ตามร้านขายยา อาจกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของไตได้ หากใช้ผิดวิธี โดยเฉพาะ กลุ่มยาแก้ปวดอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น แอสไพริน (Aspirin), ไอบูโพเฟน (Ibuprofen), หรือนาพรอกเซน (Naproxen) ซึ่งเป็นยอดฮิตที่คนมักหยิบมาใช้แก้ปวดหัว ปวดเมื่อย หรือปวดประจำเดือน
แต่รู้หรือไม่ว่า หากใช้ต่อเนื่องหรือในปริมาณมากเกินไป ยาเหล่านี้สามารถลดการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงไต ส่งผลให้ไตทำงานหนักเกินจำเป็น และอาจนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลันได้
นอกจากนี้ ยาต้านจุลชีพบางชนิด เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ที่ใช้รักษาเริม, สเตรปโตมัยซิน (Streptomycin) ยาปฏิชีวนะในกลุ่มเก่า, หรือแม้แต่ไซโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin) ซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อที่ใช้กันแพร่หลาย ก็เป็นอีกกลุ่มที่ต้องระวัง เพราะนอกจากจะทำลายไตได้แล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาเชื้อดื้อยา ซึ่งกำลังเป็นวิกฤตระดับโลกในขณะนี้
ภัยร้ายไม่ได้หยุดแค่นั้น ยาชุดผิดกฎหมาย ที่มักขายตามร้านค้าเถื่อนหรือผ่านช่องทางออนไลน์ ก็เป็นอีกตัวการสำคัญ เพราะยาชุดเหล่านี้มักผสมสารอันตราย เช่น สเตียรอยด์ หรือยา NSAIDs ในปริมาณที่ไม่มีการควบคุม ผู้ใช้จึงเสี่ยงทั้งพิษต่อไตและผลข้างเคียงรุนแรงอื่น ๆ โดยไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับ ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน เช่น อาหารเสริมหรือยาสมุนไพรที่ลักลอบใส่สารเคมีอันตราย ซึ่งมักโฆษณาเกินจริงว่า "บำรุงไต" หรือ "ล้างไต"

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
แต่ในความเป็นจริง ไม่เพียงแต่จะช่วยไม่ได้ ยังอาจทำให้ไตพังเร็วขึ้นด้วยซ้ำ ที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือ ผลิตภัณฑ์ที่แอบอ้างสรรพคุณเกินจริงเหล่านี้ผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.ยา 2510 เพราะการโฆษณาว่ารักษาหรือบำรุงไตโดยไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รับรองนั้น "เป็นสิ่งต้องห้าม" แม้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจไม่ทำร้ายไตโดยตรง แต่กลับสร้างความเสียหายทางอ้อม ด้วยการทำให้ผู้ป่วยละเลยการดูแลไตอย่างถูกวิธี เมื่อรู้ตัวอีกที โรคก็ลุกลามจนถึงขั้นต้องฟอกไตไปแล้ว
สัญญาณเตือนก่อน "ไต" พัง
โรคไตมักถูกเรียกว่า "ภัยเงียบ" เพราะในระยะเริ่มต้นแทบไม่มีอาการชัดเจน แต่หากปล่อยไว้นาน ไตที่เสียหายจะส่งสัญญาณเตือนที่เราสามารถสังเกตได้ด้วยตัวเอง เช่น
- เหนื่อยง่ายผิดปกติ เพราะร่างกายขาดเลือดจากภาวะโลหิตจางที่ไตไม่สามารถผลิตฮอร์โมนได้เพียงพอ
- บวม ที่เท้า ข้อเท้า หรือใบหน้า เนื่องจากไตไม่สามารถขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย
- ปวดสีข้างด้านหลัง บริเวณเอวที่อาจบ่งบอกถึงปัญหาที่ไตโดยตรง
- ปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะน้อยมาก ปัสสาวะมีฟอง หรือมีสีขุ่น ซึ่งอาจบ่งบอกถึงโปรตีนรั่วในปัสสาวะ
อย่างไรก็ตาม อาการเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องยืนยันที่แน่นอน วิธีที่แม่นยำที่สุดคือ การเจาะเลือดตรวจการทำงานของไต โดยดูค่า GFR (Glomerular Filtration Rate) ซึ่งบ่งบอกถึงประสิทธิภาพการกรองของไต และค่า Creatinine ที่สะท้อนระดับของเสียในเลือด หากมีข้อสงสัย อย่ารอช้า รีบพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กให้ชัดเจน

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
"ไตเสื่อม" แล้วฟื้นฟูได้หรือไม่ ?
หนึ่งในคำถามที่หลายคนสงสัยคือ หากไตเริ่มเสื่อมหรือเสียหายไปแล้ว จะสามารถ "Reverse" หรือฟื้นฟูกลับมาได้หรือไม่ ?
คำตอบขึ้นอยู่กับระดับความเสียหายและสาเหตุของโรคไตนั้น ๆ
- กรณีไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Injury) เช่น จากการใช้ยา NSAIDs เกินขนาดหรือการขาดน้ำรุนแรง หากตรวจพบเร็วและหยุดสาเหตุที่ทำร้ายไตได้ทันท่วงที ไตมีโอกาสฟื้นตัวกลับมาได้เกือบเต็มที่ โดยการรักษามักรวมถึงการหยุดใช้ยาที่เป็นพิษ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และอาจต้องให้สารน้ำทางหลอดเลือดในโรงพยาบาล
- กรณีโรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease) หากไตเสื่อมไปมาก (ค่า GFR ต่ำกว่า 60) ความเสียหายส่วนใหญ่จะเป็นแบบถาวร เพราะเนื้อเยื่อไตที่ตายแล้วไม่สามารถงอกใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม การดูแลตัวเองอย่างดี เช่น ควบคุมอาหาร ลดโซเดียม ควบคุมความดันโลหิต และหยุดใช้ยาที่ทำร้ายไต สามารถชะลอการเสื่อมของไต และอาจทำให้การทำงานของไตดีขึ้นเล็กน้อยในบางกรณี

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
เภสัชกร รวีภัทร์ อนรรฆเมธี จาก โรงพยาบาลรามาธิบดี เตือนว่าคนไทยใช้ยาฟุ่มเฟือยมากขึ้น ทั้งยาโรคเรื้อรังและยาแก้ปวด โดยมีสาเหตุจากความใส่ใจสุขภาพ การเข้าถึงยาได้ง่าย และสังคมผู้สูงอายุ การใช้ยาเกิน 5 ชนิดขึ้นไป หรือใช้ยาไม่เหมาะสม ถือเป็นการใช้ยาฟุ่มเฟือย ซึ่งอาจทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เช่น เชื้อดื้อยา หรือผลข้างเคียงจากยา ดังนั้น ควรใช้ยาตามแพทย์สั่ง ไม่กักตุนยา และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรหากมีข้อสงสัย
ใช้ยาอย่างฉลาด ชีวิตยืนยาว ป้องกันไตพัง
การป้องกันไตวายจากการใช้ยาไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องเริ่มจากความเข้าใจและการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ดังนี้
เลี่ยงใช้ยาโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะยา NSAIDs หากปวดเล็กน้อย ลองใช้วิธีพักผ่อนหรือประคบเย็นก่อน แทนการพึ่งยาทันที
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ยา ไม่ว่าจะเป็นยารักษาโรคหรือยาแก้ปวด ควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง ซึ่งเสี่ยงต่อโรคไตมากกว่าคนทั่วไป
- ระวังผลิตภัณฑ์เถื่อน หลีกเลี่ยงยาชุด อาหารเสริม หรือสมุนไพรที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับ อย. โดยสามารถตรวจสอบเลข อย. ได้ที่เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของ อย. เพื่อความปลอดภัย
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละ 1.5-2.0 ลิตร เพื่อช่วยให้ไตขับของเสียได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงจากยาที่อาจตกค้างในร่างกาย
- ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น อายุมากกว่า 60 ปี หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคไต เพื่อจับสัญญาณผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
ไตเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักเงียบ ๆ เพื่อกรองของเสียและรักษาสมดุลในร่างกาย แต่กลับถูกทำร้ายได้ง่าย ๆ จากการใช้ยาที่เราคิดว่า "ปลอดภัย" แม้ไตที่เสื่อมไปแล้วจะฟื้นฟูได้ยาก แต่หากเราดูแลดีตั้งแต่ต้น ป้องกันการใช้ยาที่ไม่จำเป็น และตรวจพบปัญหาแต่เนิ่น ๆ โอกาสที่ไตจะกลับมาทำงานได้ดีก็ยังมีอยู่
อย่าปล่อยให้ความสะดวกสบายชั่วครู่ กลายเป็นค่าใช้จ่ายมหาศาลจากการฟอกไตในอนาคต
เพราะไตมีคู่เดียว ดูแลดี ๆ ไว้ ชีวิตจะได้ยืนยาว
รู้หรือไม่ : ไตเชื่อมโยงกับ "นาฬิกาชีวิต" ของร่างกาย เพราะไตมีความสัมพันธ์กับจังหวะการทำงานของร่างกายในแต่ละวัน การทำงานของไตจะเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา เช่น ในช่วงกลางคืน ไตจะลดปริมาณการผลิตปัสสาวะ เพื่อให้เราไม่ต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ
อ่านข่าวอื่น :
กระบะฝ่าด่านเสียหลักพลิกคว่ำยึดไอซ์ 69 กก. ยาบ้า 4.5 แสนเม็ด