วันนี้ (2 มี.ค.2568) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยกรณีที่ ก่อนหน้านี้ ไทยมีการรับตัวกลุ่มคอลเซนเตอร์คนไทย 119 คน จากทางการกัมพูชา หลังมีการกวาดล้างในฝั่งปอยเปต เข้ามายัง จ.สระแก้ว ส่งให้ทางการไทยกลับมาดำเนินคดี ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนกลไกการส่งต่อระดับชาติ หรือ NRM (National Referral Mechanism การบริหารจัดการคดีและการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ) เพื่อคัดแยกระหว่างเหยื่อที่ถูกคอลเซนเตอร์ลองไปทำงานกับผู้ที่สมัครใจไปเป็นขบวนการคอลเซนเตอร์ โดยมี ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว, ตำรวจภูธรภาค 2, บก.ปคม., สตม. และ บช.สอท. ไปร่วมสอบสวน
จากการตรวจสอบเบื้องต้นจากระบบ crime และ Thaipolice online ในจำนวนนั้นมีผู้ถูกออกหมายจับ 7 คน และมีหมายจับ 11 หมาย แบ่งเป็นคดียาเสพติด และคดีฉ้อโกงประชาชนอาชญากรรมออนไลน์ นอกจากนี้ยังพบว่ามีอีก 10 คน ที่มีการแจ้งความในระบบ Thaipolice online 46 คดี ซึ่ง 10 คนนี้ มีบุคคลคนเดียวกันกับที่ถูกออกหมายจับใน 7 คน ที่เหลืออยู่ระหว่างขั้นตอนการคัดแยก โดยหากพบว่าเข้าข่ายเป็นผู้กระทำความผิดก็จะถูกดำเนินคดี ข้อหาฉ้อโกงประชาชน และข้อหาเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งการเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาตินั้นเข้าหลักเกณฑ์ พ.ร.บ.ฟอกเงิน ที่จะต้องสืบสวนเส้นทางการเงิน เพื่อให้ ปปง.ยึดทรัพย์ จากนั้นก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการเฉลี่ยทรัพย์ให้แก่ผู้เสียหายต่อไปในอนาคต
โดยเบื้องต้น ตำรวจได้มีการนำโทรศัพท์ จำนวน 121 เครื่อง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของคนไทยที่ถูกส่งกลับมาด้วย ไปตรวจสอบข้อมูลเพื่อนำมาขยายผลต่อ สำหรับกรณีทางการกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์ว่าทั้ง 119 คนนั้น สมัครใจไปทำงานเป็นขบวนการคอลเซนเตอร์ แต่เพื่อความเป็นธรรมก็จะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อพิสูจน์ว่าใครเป็นผู้เสียหายหรือใครจงใจไปทำงาน
โดยจากภาพที่ปรากฏในสื่อมวลชนที่ทางการกัมพูชาได้มีการระดมกวาดล้างจับกุม จะเห็นว่ามีความพยายามที่จะหลบหนี ไม่ได้เข้ามาขอความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งผิดวิสัยของผู้ถูกหลอกไปทำงานก็ควรจะวิ่งเข้าหาเจ้าหน้าที่เพื่อขอความช่วยเหลือ อีกทั้งใน 119 คนที่ส่งตัวกลับมาทุกคนมีโทรศัพท์มือถือใช้ ซึ่งหากเป็นเหยื่อที่ถูกหลอกจะไม่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือได้ จึงบ่งชี้ได้ว่าส่วนใหญ่เป็นผู้สมัครใจไปเป็นคอลเซนเตอร์
โดยหลังจากสิ้นสุดกระบวนการคัดแยก หรือ NRM ตำรวจจะควบคุมตัวผู้ที่เข้าข่ายกระทำความผิดมาดำเนินคดี โดย บช.สอท.เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ซึ่งหลังจากแจ้งข้อกล่าวหา ตำรวจจะควบคุมตัวผู้ต้องหาไปขอศาลอาญารัชดาภิเษกฝากขัง
แก๊งคอลฯ รับส่วนแบ่ง 4% ของยอดที่หลอกได้
ฝ่ายความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังเดินหน้าสอบปากคำ ซักถามข้อสงสัยและประเด็นสำคัญในขบวนการคอลเซนเตอร์ จากคนไทย 119 คน เบื้องต้นสามารถสอบสวนคัดแยกเหยื่อได้แล้วเกินครึ่ง พบว่าตึกดังกล่าว มีการแบ่งการทำงานในการหลอกลวงคนไทยหลายรูปแบบ เช่น หลอกจะคืนเงินประกันมิเตอร์ไฟฟ้า , หลอกเป็นเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลาง, หลอกฟีลแฟน และเว็บไซต์พนัน
หนึ่งในกลุ่มคนไทยที่รับตัวมามีตำแหน่งล่ามภาษาจีน จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ พบว่าจะคอยนำสารจากบอสจีน มาอธิบายให้คนไทยฟังและให้ทำตามคำสั่ง โดยล่ามจะได้ค่าจ้างเริ่มต้นเดือนละ 30,000 - 40,000 บาท ไม่รวมค่าคอมมิชชัน ที่หลอกคนได้
ส่วนคนที่ทำหน้าที่โทรหลอกคนไทย ทุกวันที่ทำงานจะมีเบอร์โทรศัพท์ จำนวน 100 หมายเลข ให้โทรไปหลอกเหยื่อ โดยแผนกหลอกคืนค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า จะมีการทำงาน 3 ส่วน คือโทรไปหาเหยื่อและแจ้งว่าจะได้เงินคืน จากนั้นจะส่งสายต่อไปที่ฝ่ายเทคนิค เพื่อหลอกให้ติดตั้งแอพพลิเคชัน เพื่อดูดเงิน หลังจากนั้นจะส่งต่อให้แผนกดูดเงินจากบัญชีธนาคาร ดำเนินการนำเงินออกมาให้ได้
จากการสอบสวนคนไทยส่วนหนึ่งอ้างว่า เพิ่งข้ามไปทำงานที่ปอยเปต และยังไม่ได้หลอกคนไทยด้วยกันเอง เนื่องจากอยู่ระหว่างการศึกษา เรียนรู้ขั้นตอนในการเป็นมิจฉาชีพ ซึ่งส่วนใหญ่ได้ข้ามแดนไปปอยเปต โดยใช้ช่องทางธรรมชาติ จากการสอบสวนมีข้อมูลที่น่าสนใจคือ หากใครสามารถหลอกเงินได้จะได้รับส่วนแบ่ง 4 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนเงินที่เหยื่อโอนมา
"กัมพูชา" ส่งกลับ "119 คนไทย" หลังทลายตึกคอลเซนเตอร์
บีจีเอฟหยุดค้นรัง "แก๊งคอลเซนเตอร์" จี้แต่ละชาติมารับคนของตัวเองกลับ