วันนี้ (1 มี.ค.2568) การหารือระหว่าง "โวโลดีมีร์ เซเลนสกี" ผู้นำยูเครน กับ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และ "เจดี แวนซ์" รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ทำเนียบขาว ก่อนเจรจายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน กลายเป็นเวทีปะทะคารมระหว่างผู้นำ 2 ชาติ ท่ามกลางกองทัพสื่อจนกลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก
ภายหลังการปะทะคารมอย่างดุเดือนกับผู้นำสหรัฐฯ "เซเลนสกี" ตอบข้อความที่แสดงการสนับสนุนยูเครนหลายสิบข้อความ ซึ่งโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์ ด้วยคำว่า "ขอบคุณ"
ขณะที่การหารือดังกล่าว แวนซ์ กล่าวหาว่า เซเลนสกีไม่ขอบคุณสหรัฐฯ รวมทั้งทำสิ่งที่ไม่น่าเคารพ แม้ว่าผู้นำยูเครนจะตอบโต้ว่าเคยพูดขอบคุณชาวอเมริกันหลายครั้งแล้วก็ตาม ซึ่งสำนักข่าว CNN พบว่า ตลอดช่วง 3 ปีของสงคราม ผู้นำยูเครนกล่าวขอบคุณผู้นำสหรัฐฯ นักการเมือง บริษัทผลิตอาวุธและชาวอเมริกันไปแล้วมากกว่า 30 ครั้ง
อ่านข่าว : "ทรัมป์-เซเลนสกี" ปะทะคารมปมสงคราม ก่อนถูกเชิญออกทำเนียบขาว
โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ปะทะคารมกับโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา
โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ปะทะคารมกับโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา
การโต้เถียงระหว่างรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับผู้นำยูเครนครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปะทะคารมระหว่าง 2 ฝ่าย ทั้งที่การพูดคุย 40 นาทีก่อนหน้านี้เป็นไปด้วยความราบรื่น ท่ามกลางการจับตามองถึงการลงนามในข้อตกลงเรื่องแร่ธาตุ ที่ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนยูเครน ซึ่งการปะทะคารมในครั้งนี้ส่งผลให้ต้องยกเลิกงานแถลงข่าวและพิธีลงนามข้อตกลงเรื่องแร่ธาตุ
ไม่นานหลังการประชุมเสร็จสิ้น ผู้นำชาติตะวันตก โดยเฉพาะในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นโปแลนด์ เยอรมนี สเปน สวีเดนและสหภาพยุโรป ต่างทยอยออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุนและประกาศเดินหน้าเคียงข้างยูเครน
เอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ระบุว่า ฝรั่งเศสทำถูกแล้วที่ช่วยยูเครนและคว่ำบาตรรัสเซียเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และจะเดินหน้าทำเช่นนี้ต่อไป รวมทั้งขอบคุณผู้คนที่ให้การช่วยเหลือและเคารพคนที่ต่อสู้ตั้งแต่สงครามเปิดฉากขึ้น
แม้นักวิเคราะห์หลายคนจะมองว่า การปะทะคารมกันระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับยูเครนจะไม่เหนือความคาดหมายมากนัก แต่อาจส่งผลกระทบต่อความร่วมมือข้ามแอตแลนติกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อ่านข่าว
"ยูเครนพัง ยุโรปก็จะพัง" อาเซียนเกราะป้องไทยใน "เอเชียอาคเนย์"
รวมตัวหน้าสถานทูตไทยในสหรัฐฯ ประท้วงส่งอุยกูร์กลับจีน
"เกาหลีใต้" ใช้ระเบียบใหม่เข้มงวดพก "แบตสำรอง" ขึ้นเครื่องบิน