ก่อนที่จะมีศาสนาคริสต์ ผู้คนเชื่อว่าต้นไม้ที่ยังคงเขียวชอุ่มตลอดปีจะมีความหมายที่พิเศษในฤดูหนาว เช่นเดียวกับที่ผู้คนในปัจจุบันต่างก็ตกแต่งบ้านด้วย ต้นสน ต้นสปรูซ และต้นเฟอร์ ในช่วงเทศกาล หลายชนเผ่าโบราณแขวนกิ่งไม้สีเขียวไว้ตามประตูและหน้าต่างของบ้าน โดยเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ช่วยขับไล่แม่มด วิญญาณร้าย และโรคภัยไข้เจ็บ
ในซีกโลกเหนือ วันที่สั้นที่สุดและคืนที่ยาวที่สุดของปีจะตรงกับวันที่ 21 หรือ 22 ธันวาคม ซึ่งเรียกว่า "เหมายัน" ผู้คนในยุคโบราณเชื่อว่าดวงอาทิตย์เป็นเทพเจ้า และฤดูหนาวมาเยือนทุกปีเพราะเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ล้มป่วย พวกเขาเฉลิมฉลองเหมายันเพื่อแสดงความยินดีที่เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์จะเริ่มฟื้นตัว กิ่งไม้เขียวชอุ่มเป็นตัวแทนของพืชพรรณที่พร้อมจะกลับมาเขียวขจีเมื่อฤดูร้อนมาถึง
อ่านข่าว : 22 ธ.ค.67 "วันเหมายัน" กลางคืนยาวนานที่สุดในรอบปี
ความเชื่อของผู้คนในยุคอดีตเกี่ยวกับเทพเจ้าและเทศกาลคริสต์มาส มีหลากหลายความเชื่อ ชาวอียิปต์บูชาเทพเจ้าที่ชื่อว่า "รา" ซึ่งมีหัวเป็นเหยี่ยวและมีแสงอาทิตย์เป็นมงกุฎ เมื่อราเริ่มหายจากอาการป่วยในช่วงเหมายัน ชาวอียิปต์จะนำใบปาล์มและต้นปาปิรุสเข้ามาประดับบ้านเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของชีวิตเหนือความตาย
ในโรม ชาวโรมันฉลองเหมายันด้วยเทศกาลที่เรียกว่า "Saturnalia" เพื่อเป็นเกียรติแก่เทพซาเทิร์น เทพเจ้าแห่งเกษตรกรรม ชาวโรมันตกแต่งบ้านและวัดด้วยกิ่งไม้เขียวชอุ่ม ส่วนในยุโรปเหนือ ชาวดรูอิด (นักบวชของชาวเซลต์โบราณ) ตกแต่งวัดด้วยกิ่งไม้เขียวเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตนิรันดร์ ในขณะที่ชาวไวกิ้งในสแกนดิเนเวียให้ความสำคัญกับมิสเซิลโท ต้นไม้ที่เกี่ยวข้องกับเทพแห่งแสงสว่างชื่อ "บาลเดอร์"
อ่านข่าว : "Boxing Day" พรีเมียร์ลีก เตะเพื่อ "หาเงิน" หรือ "ให้ของขวัญแฟนบอล"
"ต้นคริสต์มาส" จากเยอรมนีสู่อเมริกา
"เยอรมนี" ถือเป็นประเทศที่ได้รับเครดิตว่าเป็นต้นกำเนิดของธรรมเนียมต้นคริสต์มาสในศตวรรษที่ 16 โดยชาวคริสเตียนผู้เคร่งศาสนานำต้นไม้ประดับมาตกแต่งในบ้าน บางครอบครัวสร้างพีระมิดจากไม้และตกแต่งด้วยกิ่งไม้และแสงเทียน
มีเรื่องเล่าว่า "มาร์ติน ลูเธอร์" นักปฏิรูปศาสนาชาวเยอรมันในศตวรรษที่ 16 เป็นคนแรกที่นำแสงเทียนมาตกแต่งต้นไม้ เขาได้รับแรงบันดาลใจจากแสงดาวที่ส่องประกายท่ามกลางต้นไม้ในป่า ต่อมาในศตวรรษที่ 19 คนอเมริกันส่วนใหญ่มองว่าต้นคริสต์มาสเป็นสิ่งแปลกใหม่ เมื่อเขาเห็นต้นสนทรงสามเหลี่นมประดับด้วยไฟสวยงามปรากฏในชุมชนชาวเยอรมันที่เพนซิลเวเนียช่วงปี 1820 จนมาถึงปลายทศวรรษปี 1840 ต้นคริสต์มาสก็ยังถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาเพแกนและชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ
ผู้นำทางลัทธิ ศาสนา พยายามสื่อสารกับสาวกชาวอเมริกันว่าคริสต์มาสคือเทศกาลของพวกนอกรีต ใครที่เฉลิมฉลองเทศกาลนี้ จะต้องถูกลงโทษ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1659 ศาลทั่วไปแมสซาชูเซตส์ ได้ตราพระราชบัญญัติที่กำหนดให้การถือปฏิบัติในวันที่ 25 ธ.ค. เป็นความผิดทางอาญา ผู้ที่แขวนของประดับจะถูกปรับเงิน จนกระทั่งผู้อพยพชาวเยอรมันและชาวไอริชหลั่งไหลเข้ามาสหรัฐฯ ในศตวรรษที่ 19 ความขัดแย้งก็ถูกทำลายลง
ในปี ค.ศ. 1846 สมเด็จพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ และ เจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามีชาวเยอรมัน ได้ปรากฏตัวในภาพวาดที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ Illustrated London News โดยยืนร่วมกับพระราชโอรสและพระราชธิดารอบต้นคริสต์มาส กลายเป็นเทรนด์ขึ้นมาทันที ไม่เพียงเฉพาะในอังกฤษเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชนชั้นสูงในชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาที่ใส่ใจในเรื่องแฟชัน และ "ต้นคริสต์มาส" ก็ได้กลายเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง
ต้นศตวรรษที่ 20 ชาวอเมริกันมักประดับต้นคริสต์มาสด้วยเครื่องประดับที่ทำขึ้นเองที่บ้าน ในขณะที่ชาวเยอรมัน-อเมริกันหลายคนยังคงใช้แอปเปิล ถั่ว และคุกกี้มาร์ซิแพนเป็นของตกแต่ง การมาถึงของไฟฟ้าได้นำพาไฟประดับต้นคริสต์มาส ทำให้ต้นคริสต์มาสสามารถส่องสว่างได้หลายวันติดต่อกัน ด้วยเหตุนี้ ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มปรากฏในลานกลางเมืองทั่วประเทศ และการมีต้นคริสต์มาสในบ้านกลายเป็นประเพณีของชาวอเมริกัน
"ต้นคริสต์มาส" จากทั่วโลก
- แคนาดา
ผู้อพยพชาวเยอรมันเริ่มอพยพจากสหรัฐฯ มายังแคนาดา ช่วงศตวรรษที่ 18 พวกเขานำต้นคริสต์มาสรวมถึงประเพณีบ้านขนมปังขิงและปฏิทิน Advent มาด้วย เมื่อเจ้าชายอัลเบิร์ต พระสวามีชาวเยอรมันของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย นำต้นคริสต์มาสมาประดับที่พระราชวังวินด์เซอร์ในปี 1848 ธรรมเนียมต้นคริสต์มาสจึงกลายเป็นที่นิยมในอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และแคนาดา
- เม็กซิโก
ในบ้านชาวเม็กซิกันส่วนใหญ่ การตกแต่งที่สำคัญคือ Nacimiento (ฉากการประสูติของพระเยซู) อย่างไรก็ตาม ต้นคริสต์มาสที่ตกแต่งอาจถูกรวมอยู่ในฉาก Nacimiento หรือแยกตั้งไว้ในที่อื่น เนื่องจากต้นสนธรรมชาติเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยสำหรับครอบครัวชาวเม็กซิกัน ต้นไม้เทียมหรือกิ่งไม้ที่ตัดจากป่า เช่น ต้นคอพาล จึงกลายเป็นตัวเลือกในหมู่ชาวเม็กซิกันแทน
- สหราชอาณาจักร
ต้น Norway Spruce เป็นพันธุ์ต้นคริสต์มาสแบบดั้งเดิมที่ใช้ตกแต่งในบ้านของชาวอังกฤษ พันธุ์นี้เคยเป็นพันธุ์พื้นเมืองของหมู่เกาะอังกฤษก่อนยุคน้ำแข็ง และถูกนำกลับมาอีกครั้งในช่วงก่อนปี 1500
- กรีนแลนด์
เนื่องจากกรีนแลนด์ไม่มีป่าขนาดใหญ่ ต้นคริสต์มาสส่วนใหญ่จึงถูกนำเข้ามาและประดับด้วยเทียนและเครื่องตกแต่งสีสดใส
- กัวเตมาลา
ต้นคริสต์มาสได้รับความนิยมมากขึ้นในกัวเตมาลา เช่นเดียวกับฉากการประสูติ Nacimiento ซึ่งได้รับอิทธิพลจากประชากรชาวเยอรมันที่อาศัยอยู่ในประเทศ
- บราซิล
แม้วันคริสต์มาสในบราซิลจะตรงกับฤดูร้อน แต่ต้นสนบางครั้งก็ถูกตกแต่งด้วยสำลีเล็ก ๆ ที่แสดงถึงหิมะ
- ไอร์แลนด์
ต้นคริสต์มาสมักถูกซื้อในช่วงเดือนธันวาคมและตกแต่งด้วยไฟหลากสี สายรุ้ง และลูกบอลประดับ บางคนชอบประดับต้นไม้ด้วยนางฟ้าที่ปลายยอด ในขณะที่บางคนชอบดาว บ้านเรือนมักประดับด้วยพวงมาลัย เทียน กิ่งฮอลลี่ และไอวี่
- สวีเดน
ผู้คนส่วนใหญ่มักซื้อต้นคริสต์มาสก่อนวันคริสต์มาสอีฟ แต่จะนำต้นไม้เข้าบ้านและตกแต่งในช่วงไม่กี่วันก่อนถึงเทศกาล ต้นไม้เขียวชอุ่มถูกตกแต่งด้วยดาว สัญลักษณ์พระอาทิตย์ และเกล็ดหิมะที่ทำจากฟาง รวมถึงของตกแต่งไม้หลากสี
- นอร์เวย์
ชาวนอร์เวย์มักเดินทางเข้าไปในป่าเพื่อตัดต้นคริสต์มาสเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเขาไม่เคยทำ ต้นคริสต์มาสถูกนำเข้ามาในนอร์เวย์จากเยอรมนีในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 และเริ่มแพร่หลายไปยังชนบทในภายหลัง
- ยูเครน
วันคริสต์มาสที่ฉลองในวันที่ 25 ธ.ค. จะจัดขึ้นโดยชาวคริสต์นิกายคาทอลิก และในวันที่ 7 ม.ค. จัดโดยชาวคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ วันคริสต์มาสถือเป็นวันหยุดที่สำคัญที่สุดในยูเครน ในช่วงเทศกาลนี้ผู้คนจะตกแต่งต้นสนและจัดงานเลี้ยง
- สเปน
ประเพณีหนึ่งในแคว้นคาตาโลเนีย คือ Caga Tió เป็นช่วงที่ชาวบ้านจะหาท่อนไม้มาตกแต่งให้มีตา มีปาก แล้วให้เด็ก ๆ คอยป้อนเศษอาหารให้ พอถึงวันคริสต์มาส เด็ก ๆ จะตีท่อนไม้ให้แตกและพบว่าข้างในนั้นมีขนมหวานหรือถั่วซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่ม ส่วนเศษไม้ที่แตกออก ชาวบ้านก็เอาไปทำฟืนให้ความอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว
- อิตาลี
ในอิตาลี presepio หรือ ฉากการประสูติของพระเยซู เป็นศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสสำหรับครอบครัว โดยรูปปั้นมักถูกแกะสลักด้วยมือและประดับอย่างประณีต
- เยอรมนี
เยอรมนีเป็นแหล่งกำเนิดของธรรมเนียมต้นคริสต์มาสให้อีกหลายประเทศ ต้น Tannenbaum แบบดั้งเดิมมักถูกแอบถูกตกแต่งและค่ยเปิดเผยในคืนวันคริสต์มาสอีฟ
- จีนและญี่ปุ่น
ในจีน ต้นคริสต์มาสส่วนใหญ่เป็นต้นไม้เทียมตกแต่งด้วยโคมกระดาษ ส่วนในญี่ปุ่น ต้นคริสต์มาสเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักในครอบครัว ตกแต่งด้วยพัดกระดาษ โคมไฟ และนกกระเรียนพับกระดาษ
เกร็ดน่ารู้-ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ "ต้นคริสต์มาส" ในสหรัฐฯ
- ต้นคริสต์มาสเริ่มขายในเชิงพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1850
- ต้นคริสต์มาสที่สูงที่สุดในโลกคือ ต้นสนดักลาส สูง 64.6 เมตร (212 ฟุต) ที่ได้รับการตั้งขึ้นและตกแต่งที่ศูนย์การค้า Northgate เมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเดือน ธ.ค.1950
- แฟรงคลิน เพียร์ซ ประธานาธิบดีคนที่ 14 ของสหรัฐฯ มักได้รับเครดิตว่าเป็นผู้เริ่มธรรมเนียมการนำต้นคริสต์มาสเข้าสู่ทำเนียบขาวในช่วงต้นทศวรรษ 1850
- ในปี 1923 ปธน.คาลวิน คูลิดจ์ เริ่มธรรมเนียมการจุดไฟต้นคริสต์มาสแห่งชาติที่จัดขึ้นทุกปีบนสนามหญ้าของทำเนียบขาว
- ตั้งแต่ปี 1966 สมาคมต้นคริสต์มาสแห่งชาติ จะมอบต้นคริสต์มาสให้กับประธานาธิบดีและครอบครัวทุกปี
- ต้นคริสต์มาสใช้เวลาเติบโต ประมาณ 6-8 ปีจึงจะโตเต็มที่
- ต้นคริสต์มาสปลูกในทุก 50 รัฐ รวมถึงฮาวายและอลาสกา
- ร้อยละ 98 ของต้นคริสต์มาสธรรมชาติในสหรัฐฯ ทั้งหมด ปลูกในฟาร์ม
- ต้นไม้อื่น ๆ เช่น เชอร์รี่และฮอว์ธอร์น เคยถูกใช้เป็นต้นคริสต์มาสในอดีต
- ในปี 1963 ต้นคริสต์มาสแห่งชาติถูกดับไฟ จนถึงวันที่ 22 ธ.ค. เนื่องจากเป็นช่วงไว้ทุกข์ 30 วันหลังการลอบสังหาร ปธน.จอห์น เอฟ. เคนเนดี
- ปธน.ธีโอดอร์ รูสเวลต์ เคยสั่งห้ามต้นคริสต์มาสในทำเนียบขาว อาจด้วยเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม แต่ลูกชายของเขาแอบนำต้นไม้เข้ามาในบ้าน
- สายพันธุ์ต้นสนที่ใช้ทำต้นคริสต์มาสที่ขายดีที่สุด ได้แก่ Scotch Pine, Douglas Fir, Fraser Fir, Balsam Fir และ Blue Spruce
รู้หรือไม่ : ถ้าจะเรียกเทศกาลคริสต์มาสเป็น "เทศกาลแห่งแสงสว่าง" ก็ไม่น่าผิดอะไร เพราะแค่ในสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียว มีบ้านเรือนกว่า 80 ล้านหลังที่ตกแต่งบ้านและต้นคริสต์มาสด้วยไฟมากกว่า 150 ล้านดวง ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ากับการประดับเหล่านี้ถึง 6,630 ล้านกิโลวัตต์ใน 1 ชม. หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 6 ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดทั้งประเทศในเดือน ธ.ค.
อ่านข่าว :