ความเคลื่อนไหวของ "สหรัฐอเมริกา" กับ "จีน" สะท้อนให้เห็นสงครามการค้าของ 2 ประเทศมหาอำนาจ จากการใช้มาตรการกำแพงภาษี ซึ่งหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัย 2 เมื่อต้นปี 2025 การตอบโต้ของทั้ง 2 ประเทศยิ่งเข้มข้นแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน
ครึ่งแรกปี 2025 สหรัฐฯ-จีน ตั้งกำแพงภาษีโต้ตอบกัน
ตั้งแต่วันแรกที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง เขาประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% รวมถึงขึ้นภาษีสินค้าจากจีน 10% เพื่อตอบโต้ปมผู้อพยพและยาเฟนทานิลที่ไหลทะลักเข้าสู่สหรัฐฯ
1 ก.พ. ทรัมป์ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากทั้ง 3 ประเทศ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ.
3 ก.พ. ทรัมป์เลื่อนการขึ้นภาษีให้แคนาดา-เม็กซิโก เป็นเวลา 30 วัน ขณะที่คู่ค้าทั้ง 2 ประเทศได้ดำเนินการเกี่ยวกับความปลอดภัยชายแดนและการค้ายาเสพติด แต่ "ยกเว้นจีน"
4 ก.พ. ภาษีนำเข้าสินค้าจีนทั้งหมด 10% ที่ส่งไปสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ ด้านจีนตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีศุลกากรถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ LNG ของสหรัฐฯ ในอัตรา 15% และอีก 10% สำหรับน้ำมันดิบ เครื่องจักรกลการเกษตรและรถยนต์บางรุ่นจากสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.
อ่านข่าว : ถึงกำหนด 9 เม.ย. "ทรัมป์" รีดภาษีนานาชาติ ไม่อ่อนข้อ "จีน" ขึ้น 104%

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
4 มี.ค. ทรัมป์เพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดจากจีนอีก 10% อ้างเหตุผลว่าจีนปล่อยให้ยาเฟนทานิลทะลักเข้าสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน "จีน" กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรที่สำคัญของสหรัฐฯ สูงถึง 15% โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. นอกจากนี้ยังขยายจำนวนบริษัทของสหรัฐฯ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมการส่งออกและข้อจำกัดอื่นๆ ด้วย
10 มี.ค. จีนจัดเก็บภาษีตอบโต้สินค้าเกษตรสำคัญของสหรัฐฯ ในอัตรา 15% ได้แก่ ไก่ หมู ถั่วเหลืองและเนื้อวัว
2 เม.ย. ทรัมป์ประกาศปลดแอกสหรัฐฯ เปิดตัวเลขภาษีนำเข้าที่จะเรียกเก็บจากประเทศคู่ค้าทั่วโลกในอัตราแตกต่างกัน โดยจีนถูกตั้งกำแพงภาษี 34% มีผลวันที่ 9 เม.ย.
4 เม.ย. จีนโต้ตอบด้วยการประกาศแผนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดจากสหรัฐฯ เพิ่มอีก 34% เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. พร้อมกำหนดมาตรการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายากเพิ่มเติม

(แฟ้มภาพ) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ (ซ้าย) และสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน (ขวา) ในการประชุมทวิภาคี ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำ G20 ที่โอซากะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.2019
(แฟ้มภาพ) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ (ซ้าย) และสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน (ขวา) ในการประชุมทวิภาคี ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำ G20 ที่โอซากะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.2019
9 เม.ย. สหรัฐฯ ใช้ไม้แข็งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 50% ส่งผลให้สินค้านำเข้าทุกชนิดจากจีนถูกเก็บภาษีสูงถึง 104%
วันเดียวกัน "จีน" ไม่ยอมอ่อนข้อ ประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มเป็น 84% มีผลตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.เป็นต้นไป
ต่อมา "ทรัมป์" ประกาศกร้าวขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 21% รวมของเดิม 104% เท่ากับว่าขณะนี้สหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีต่อจีนสูงถึง 125% และให้มีผลทันที โดยทรัมป์ชี้ว่าจีนไม่เคารพตลาดโลก
ในทางกลับกัน ผู้นำสหรัฐฯ สั่งระงับมาตรการภาษีต่างตอบแทนรายประเทศออกไป 90 วัน หลังมีมากกว่า 75 ประเทศติดต่อผู้แทนสหรัฐฯ เพื่อพยายามเจรจาหาทางออกเรื่องการค้า ซึ่งประเทศเหล่านี้ไม่ได้ตอบโต้มาตรการของทรัมป์
ด้านจีนยื่นหนังสือต่อองค์การการค้าโลก (WTO) คัดค้านการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ โดยมองว่าเป็นการกลั่นแกล้ง
10 เม.ย. สงครามการค้าระหว่าง 2 ชาติยังคงดุเดือดเมื่อ "ทรัมป์" ประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนทุกประเภทเป็น 145% และรอให้ "สี จิ้นผิง" ผู้นำของจีน เป็นฝ่ายขอเปิดเจรจา
ด้าน "จีน" ตอบโต้อย่างรวดเร็วด้วยการจำกัดการส่งออกภาพยนตร์จากสหรัฐฯ และเพิ่มภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ เป็น 84% อีกทั้งยังปฏิเสธการจัดการพูดคุยในระดับผู้นำระหว่าง 2 ประเทศ
11 เม.ย. กระทรวงการคลังจีน ประกาศขึ้นอัตราการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 125% แล้ว

สินค้าส่งออกที่ท่าเรือในเมืองหยานไถ มณฑลซานตง ทางตะวันออกของจีน เมื่อวันที่ 3 เม.ย.2025
สินค้าส่งออกที่ท่าเรือในเมืองหยานไถ มณฑลซานตง ทางตะวันออกของจีน เมื่อวันที่ 3 เม.ย.2025
"สหรัฐฯ-จีน" นำเข้าอะไรจากกันและกัน ?
การค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจทั้งสอง มีมูลค่ารวมประมาณ 585,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อปี 2024 แม้ว่าสหรัฐฯ จะนำเข้าสินค้าจากจีนมากกว่าที่จีนนำเข้าจากสหรัฐฯ ก็ตาม
ข้อมูลจาก US International Trade Commission พบว่า ในปี 2024 สหรัฐฯ ส่งออกสินค้าไปจีน มากที่สุด 5 อันดับแรกคือ ถั่วเหลือง คิดเป็นสัดส่วน 9% ของมูลค่ารวม ซึ่งส่วนใหญ่จีนนำไปใช้ในด้านปศุสัตว์ รองลงมาคือ เครื่องบินและเครื่องยนต์ คิดเป็นสัดส่วน 8%, แผงวงจรรวม 4%, ยาและเภสัชภัณฑ์ 4% และปิโตรเลียม 3%
ส่วนสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีน มากที่สุด 5 อันดับแรก คือ สมาร์ตโฟน คิดเป็นสัดส่วน 9% ของมูลค่ารวม เนื่องจากสมาร์ตโฟนส่วนใหญ่ผลิตในจีน รองลงมาคือ แล็ปท็อป 7%, แบตเตอรี 3% ซึ่งมีความสำคัญต่อการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า, ของเล่น 2% และอุปกรณ์โทรคมนาคม 2%
อย่างไรก็ตาม สินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีนทั้งหมดมีแนวโน้มราคาแพงขึ้นอย่างมาก เนื่องมาจากภาษีศุลกากรที่รัฐบาลทรัมป์กำหนดไว้กับจีน หากกำแพงภาษียังสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจส่งผลให้ราคาสินค้าแพงขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
ขณะเดียวกันสินค้าที่สหรัฐฯ ส่งออกไปยังจีนก็จะมีราคาสูงขึ้นเช่นกัน จากภาษีที่จีนใช้ตอบโต้ และท้ายที่สุดผู้ได้รับผลกระทบก็คือผู้บริโภค
(ที่มา PBS / BBC)
อ่านข่าว
จีนโต้กลับสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้า 84% มีผล 10 เม.ย.
มหาศึกการค้าสหรัฐฯ-จีน ภาษี 104% เปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจโลก
5 เป้าหมายกำแพงภาษี "ทรัมป์" จ่อประกาศขึ้นภาษีนำเข้ายาครั้งใหญ่