วันนี้ (15 ธ.ค.2567) ตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ สอท. นำหมายจับศาลอาญาเข้าจับกุมนางสาวปาริฉัตต์ ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตัวเป็นบุคคลอื่น , ร่วมกันทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจด้วยการขู่เข็ญ , ร่วมกันทุจริตหรือหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ และข้อหาเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก ของตัวเองโดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญา ภายในบ้านพักแห่งหนึ่งใน จ.ชัยภูมิ หลังตำรวจสืบสวนจนทราบว่าเกี่ยวข้องกับเครือข่ายคอลเซนเตอร์ ที่หลอกให้ น.ส.ชาล็อต ออสติน โอนเข้าบัญชี 4 ล้านบาท
อ่านข่าว : "ชาล็อต" แถลงไทม์ไลน์ปมมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน 3 ครั้ง สูญ 4 ล้าน
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ สอท. เปิดเผยว่า จากการสอบสวนพบว่าผู้ต้องหามีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายแก๊งคอลเซนเตอร์ และมีประวัติเดินทางออกนอกประเทศ ก่อนวันที่ น.ส.ชาล็อตจะถูกหลอกให้โอนเงิน
พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 หรือ สอท.1 เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาถูกสามีชักชวนให้เปิดบัญชีธนาคารเพื่อรับรายได้พิเศษ โดยมีค่าตอบแทนให้บัญชีละ 3,500 บาท
ต่อมาผู้ว่าจ้างได้เดินทางมาที่บ้านเพื่อถ่ายรูปสมุดบัญชี ก่อนจะแจ้งว่าตัวเองและสามีต้องเดินทางไปที่ประเทศกัมพูชา 2 วัน ซึ่งในวันเดินทางได้มีรถแท็กซี่ 2 คัน มารับที่บ้าน โดยภายในรถยังมีบุคคลอื่นที่รับจ้างเปิดบัญชีร่วมเดินทางไปด้วย เมื่อถึงบริเวณตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ได้มีรถจักรยานยนต์มารับเพื่อพาไปส่งยังจุดข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติ ซึ่งใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 10 นาที ก็เดินทางถึงประเทศกัมพูชาและมีกลุ่มคนมารับไปส่งยังอาคารแห่งหนึ่ง
ภายในขณะดังกล่าวผู้ต้องหาให้ข้อมูลว่ามีคนไทยประมาณ 20 คนอาศัยอยู่ภายในโดยมีคนจีนเป็นผู้เช่า โดยชั้นบนของอาคารมีการสร้างห้องจำลองอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเพื่อใช้สำหรับวิดีโอคอลหลอกผู้เสียหายให้โอนเงิน ส่วนตัวผู้เสียหายนั้นถูกขังอยู่ในห้องก่อนจะถูกเรียกให้ออกไปสแกนใบหน้า ผ่านบัญชีธนาคารที่ลงทะเบียนไว้ และเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจก็จะได้รับเงินสด เป็นค่าตอบแทนและถูกสองตัวกลับประเทศไทยผ่านช่องทางเดิม
จากการขยายผลเบื้องต้น ตำรวจพบเส้นทางการเงินที่ น.ส.ชาล็อต โอนไปจำนวน 4 ล้านบาท ถูกแปลงเป็นเงินดิจิทัลและโอนไปยังบัญชีปลายทางที่มีคนจีนเป็นเจ้าของ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผล ส่วนสามีของผู้ต้องหา ภายหลังออกข่าวก็พบว่าได้หลบหนีไปจากที่พัก แต่จากการตรวจสอบยังไม่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้เพราะยังไม่ปรากฏหลักฐานเชื่อมโยงเส้นทางการเงิน
อ่านข่าว :