วันนี้ (18 พ.ย.2567) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สื่อมวลชน และ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนในคดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ เจ๊อ้อย แจ้งความดำเนินคดีกับ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความกับพวกในข้อหาฉ้อโกง
นายปานเทพ เปิดเผยว่า ตำรวจได้เชิญให้มาเป็นพยานในเหตุการณ์ และในฐานะเป็นผู้รับเรื่องร้องทุกข์จาก น.ส.จตุพร โดยส่วนตัวเชื่อว่าคดีฉ้อโกงเงิน 39 ล้านบาท มีความชัดเจนอยู่แล้วว่า ผู้ถูกกล่าวหามีการแบ่งเงินกันอย่างไรและทำกันเป็นขบวนการ ซึ่งตำรวจทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว
ส่วนกรณีที่นายษิทรา พยายามให้ น.ส.จตุพร รับลูกชายของตัวเองเป็นบุตรบุญธรรมนั้น พบว่าช่วงปี 2565-2566 น.ส.จตุพรได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของตัวเองในต่างประเทศ ถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกยังไม่มีผู้จัดการมรดก แต่ครั้งที่ 2 มีการเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมโดยมีนายษิทราเป็นผู้จัดการมรดก
ซึ่งระหว่างที่นายษิทราเป็นผู้จัดการมรดก น.ส.จตุพร พบความผิดปกติทางการเงิน รวมถึงรถยนต์ส่วนตัวถูกติดตั้งระบบการติดตาม หรือ GPS และนายษิทรามักชักชวนไปในที่เปลี่ยวหรือที่ไม่มีสัญญาณ ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย จึงขอยกเลิกพินัยกรรมฉบับที่มีนายษิทราเป็นผู้จัดการมรดก และเมื่อทวงถามเอกสารการยกเลิก นายษิทรากลับอ้างว่าได้ทำลายพินัยกรรมฉบับนั้นไปแล้ว
สำหรับประเด็นพินัยกรรมนี้ นายปานเทพ เชื่อว่าจะสามารถนำไปประกอบให้สำนวนคดีให้มีความแน่นหนาและแข็งแรงมากขึ้น
อ่านข่าว :
ตร.สอบ "พี่สาว" ทนายตั้มในฐานะคนใกล้ชิด จ่อสอบบุคคลอื่นเพิ่ม