ชัยชนะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เหนือ เลสเตอร์ ซิตี้ ด้วยสกอร์ 5-2 ในศึกคาราบาว คัพ ในค่ำคืนที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้พลพรรคปิศาจแดงผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ได้ฉลองฮาโลวีนสุดชื่นมื่น ก่อนจะพบกับ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส ในรอบก่อนรองชนะเลิศต่อไป
นอกเหนือจากชัยชนะสุดหอมหวาน สิ่งหนึ่งที่ผู้คนแซ่ซ้อง คือ การกุมบังเหียนครั้งแรกของ "รุด ฟาน นิสเตลรอย" กุนซือขัดตาทัพของทีม ที่สามารถทำให้ทีมที่มีเกมรุกสุดบู้ ยิงได้เพียง 8 ประตูจากการลงเล่นพรีเมียร์ลีก 9 นัด กลับมายิงกระจายได้ถึง 5 ประตู จากโอกาสยิงทั้งหมดถึง 23 ครั้ง และที่สำคัญเขาเคยเป็น "อดีตศูนย์หน้า" ของทีมในยุครุ่งเรือง เมื่อช่วงปี 2000
ผมบอกเลยว่า จริง ๆ แล้วเราก็มีโชคอยู่มาก … เกมก่อนหน้าเรามีโอกาสเยอะ แต่ยิงไม่เคยได้ … อยู่ดี ๆ เกมนี้เราก็ยิงได้เฉยเลย เราสร้างค่ำคืนที่สุดเจ๋งจริง ๆ
แม้จะกล่าวแบบถ่อมตน แต่แฟนบอลบางส่วนทั้งในอังกฤษและต่างประเทศก็อยากให้เขามาเป็นกุนซือถาวรของทีม หรือการที่จะปลุกปิศาจ (แดง) ต้องใช้ปิศาจ (อดีตนักเตะของทีม) อย่างที่ทีมเคยแต่งตั้ง โอเล กุนนาร์ โซลชา และทำให้ทีมกลับมามีหวังอีกครั้ง?
ปลุก "พีเอสวี" สะเทือนแดนกังหัน
อย่างที่ทราบกัน โค้ชอดีตศูนย์หน้าเจ้าของฉายา "พี่ม้า" ผู้นี้เป็นตำนานของปิศาจแดง สถิติยอดดาวยิงสูงสุดลำดับที่ 9 ของสโมสร ด้วยการยิงไป 150 ประตู จากการลงสนาม 219 นัด คิดเป็นอัตราส่วนการลงเล่นต่อประตูที่ทำได้ (Goals per Mathch) จะอยู่ที่ 0.68 ประตูต่อนัด เป็นลำดับที่ 1 ของสโมสร หมายความว่า รุดนั้นเป็น "เพชฌฆาต" ยิงประตูได้คมกริบ ง้างเป็นตุง เชื่อมือได้เลยทีเดียว
ในตอนคุมทีมก็เช่นเดียวกัน "รุด" เปิดหมดเปลือกว่า ทีมของเขามีอยู่เพื่อ "เกมรุก" เพราะได้รับการปลูกฝังจากบรมกุนซือ "เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน" เมื่อครั้งวัยหนุ่มที่เขาเป็นลูกทีมแมนฯ ยูฯ ในฐานะศูนย์หน้าที่ต้องคิดเพียงเรื่องของการเล่นเกมรุกเพื่อถล่มตาข่าย
ที่นี่ บอส (เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน) บอกให้เราดันไปอยู่แดนหน้าเสมอ มองไปแดนหน้า เล่นในแดนหน้า ส่งบอลไปยังแดนหน้า และโป้ง ปิดบัญชีให้จงได้ ตอนที่ผมเป็นนักเตะ ผมชอบแนวทางการเล่นนี้มาก ทัชใจผมสุด ๆ ผมต้องการเล่นแบบนี้ และผมต้องการยกการเล่นแบบนี้มาใช้กับการคุมทีมของผม กับน้อง ๆ ในทีม
"รุด" รับงานคุมสโมสร พีเอสวี ไอน์โฮลเฟน ยักษ์ใหญ่แห่งเอเรดิวิชี ลีกสูงสุดของเนเธอร์แลนด์ ในฤดูกาล 2022-2023 และเคยล่าตาข่ายอยู่ที่นี่ในช่วงปี 1998-2001 ก่อนย้ายมาซบแมนยูฯ ที่ขณะนั้น พีเอสวีเป็น "ยักษ์หลับ" แม้จะเพิ่งได้แชมป์ฟุตบอลถ้วย KNVB Cup ไปหมาด ๆ แต่ความสำเร็จนั้นอยู่ใต้ร่มเงาของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม และเฟเยนูร์ด ร็อตเตอร์ดัม อีกสองยักษ์ใหญ่ในประเทศอยู่อักโข ทั้งในเรื่องควาามสำเร็จและผลงานในสนาม
ฟุตบอลของ "รุด" นั้น ไม่ได้ทำตามกระแสนิยมในปัจจุบัน อย่างการ Build-up ค่อย ๆ ต่อบอล ลำเลียงบอล หาช่องหาโอกาสในการทำประตู ซึ่งเป็นแนวทางที่ต่อยอดมาจากการเล่นของ "บาร์เซโลนา" ที่ครองความยิ่งใหญ่ในช่วงปี 2010 แต่ใช้ฟุตบอล "Transition" คือ การเปลี่ยนจากเกมรับมา เป็นเกมรุก หรือเกมรุกเป็นเกมรับ ไม่ต้องมาต่อบอลเรื่อย ๆ ให้มากความ โดยให้ผู้เล่นถ่างด้านกว้างของสนาม ใช้ประโยชน์เชิงพื้นที่ให้ได้มากที่สุด และจะใช้การโจมตีจากทางด้านข้าง โดยปีกทั้งสองฝั่งในการทำประตู
วิธีการเช่นนี้ เรียกได้ว่า ยกแผนการเล่นเกมรุกของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มาทั้งกระบิ ซึ่งเป็นแผนการเล่นที่ทำให้เขายิงกระจายสมัยเป็นนักเตะ แต่สำหรับเกมรับนั้น แตกต่างออกไป รุดวางหมากให้ "พลพรรคหลอดไฟ" บีบพื้นที่คู่แข่งตั้งแต่แดนกลาง ทำให้คู่แข่งต้องจ่ายบอกออกทางริมเส้น ส่งผลให้พื้นที่ด้านกว้างมีมาก ปีกของรุดก็จะโต้กลับได้อย่างทรงประสิทธิภาพ
ด้วยการเล่นแบบฉบับรุด ส่งผลให้พีเอสวีไม่ปราชัยต่อสองทีมยักษ์ใหญ่ แบ่งเป็นชนะ อาแจ็กซ์ แบบไปกลับ (1-2 ไปเยือน 3-0 ในบ้าน) และชนะเฟเยนูร์ด ในบ้าน 4-3 ก่อนออกไปเยือนเสมอ 1-1 และถึงแม้จะไม่ได้แชมป์ลีก โดยเป็นเฟเยนูร์ดที่ได้ไป แต่ก็ยัดเยียดความปราชัยให้ 1 จาก 2 นัดที่เฟเยนูร์ดแพ้ในเกมลีกเลยทีเดียว ทั้งยังพ่วงด้วยสถิติไม่แพ้ใครในเกมลีกมากถึง 17 นัดติดต่อกัน
ส่วนในฟุตบอลถ้วย รุดประกาศศักดาในการย้ำชัยชนะเหนืออาแจ็กซ์ โดยการชนะจุดโทษ 3-2 (เสมอในเวลา 1-1) ป้องกันแชมป์ KNVB Cup อย่างยิ่งใหญ่ โดยเขาได้รับคำเยินยอจากการที่ป้องกันไม่ให้คู่แข่งยิงตรงกรอบตลอด 120 นาที (โอกาสยิง 9 ครั้ง เข้ากรอบ 0 ครั้ง) และถึงแม้จะโชคร้าย เซ็นเตอร์ฮาล์ฟทำเข้าประตูตนเอง แต่ก็สามารถพลิกกลับมาชนะได้ทันควัน
น่าเสียดาย ที่รุดกับพีเอสวีต้องแยกทางกันในช่วงสิ้นสุดฤดูกาล เพราะเขารู้สึกว่าบอร์ดบริหาร "ไม่สนับสนุนมากพอ" ให้เขาทำทีมระยะยาว และราก ฐานสำคัญด้านการเล่นเกมรุกที่เขาได้วางไว้ให้พลพรรคหลอดไฟ ต่อมาได้ทำให้ทีมคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาล 2023-2024
DNA ปิศาจแดง ให้โอกาสและปลุกปั้นดาวรุ่ง
นอกเหนือจากสไตล์การเล่นที่ถอดแบบ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มาแบบเต็มสตรีม อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นมรดกตกทอด คือ การที่รุดนั้น "ปั้นดาวรุ่ง" ได้ทรงประสิทธิภาพไม่แตกต่างจากอดีตบอสของเขา เรื่องนี้ รุดออกมายอมรับโดยตรงว่ามาจากอิทธิพลของแมนฯ ยูฯ ที่ปั้นเยาวชนออกสู่ตลาดแรงงานฟุตบอลมากมาย
สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จาก เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน และเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คือการบริหารจัดการปัจเจกบุคคล ต้องดูแลไม่ใช่เพียงนักฟุตบอล แต่ในฐานะมนุษย์ คุณจะได้เวอร์ชันที่ดีที่สุดของน้อง ๆ หากเชื่อมร้อยกันได้อย่างแนบสนิท
หนึ่งในเยาวชนที่รุดปลุกปั้นและก้าวขึ้นมาอยู่ในแสงสาดส่อง คือ "จาร์ราด แบรนธ์เวต" เซนเตอร์ฮาล์ฟสัญชาติอังกฤษที่เอฟเวอร์ตันส่งให้พีเอสวีมาช่วยขัดเกลาฝีเท้า โดยแบรนธ์เวตถือว่ารุดนั้น "มีบุญคุณ" ที่ช่วยให้เขากลายเป็นยอดกองหลังแห่งเกาะอังกฤษที่มีค่าตัวตามราคาประเมินเกินกว่า 70 ล้านปอนด์ ณ ตอนนี้
เขาให้คำแนะนำการยืนตำแหน่งเกมรับและความสำคัญของการเล่นในสนาม และเน้นย้ำให้เตรียมใจสำหรับการป้องกันและกดดันศูนย์หน้าคู่แข่ง เขาย้ำเตือนว่า หากยืนตำแหน่งได้ไม่ดี ก็จะเสียผู้เสียคนได้ เพราะพรีเมียร์ลีกเล่นกันรวดเร็วมาก หากศูนย์หน้าเร็วกว่าคุณและคุณหลุดตำแหน่ง ไม่มีทางเลยที่จะตามทัน
"ชาบี ซิมงส์" เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจในการปลุกปั้นของเขา เพราะถึงแม้ซิมงส์จะเป็นนักเตะดาวรุ่งที่น่าจับตามอง และเคยอยู่ทีมยักษ์ใหญ่ของโลก ทั้งบาร์เซโลนาและเปแอสเช แต่มีเพียงชื่อเท่านั้น ผลงานในสนามเพิ่งจะมาสร้างจากพีเอสวี โดยกลายเป็นปีกจอมถล่มประตูที่เข้าระบบของรุดได้อย่างเหลือเชื่อ ผลงาน 22 ประตู 11 แอสซิสต์คือคำตอบ รุดถึงกับเอ่ยปากสรรเสริญปีกดาวรุ่งคนบ้านเดียวกันผู้นี้ว่า "เหลือจะเชื่อ" เลยทีเดียว
แต่ที่ขาดไม่ได้ที่จะกล่าวถึง คือ 2 ผู้เล่นแนวรุกที่ฟอร์มร้อนแรงจนได้ย้ายทีมไปในกลางฤดูกาล คือ โคดี้ กักโป และโนนี มาดูเอเก้ โดยรายแรกลิเวอร์พูลยอมทุ่มค่าตัวให้มากถึง 42 ล้านยูโร และรายหลังเชลซีทุ่มค่าตัวให้ 35 ล้านยูโร หากไม่ได้รุดให้โอกาสประเดิมสนามในช่วงต้นฤดูกาล ไม่มีทางเลยที่ค่าตัวของพวกเขาจะพุ่งสูงขนาดนี้ โดยกักโปได้ระลึกถึงบุญคุณของเขาไว้ว่า
บอส (รุด ฟาน นิสเตลรอย) ช่วยออกแบบวิธีการวิ่งของผมให้เหมือนกับที่ พอล สโคลส์ และไรอัน กิ๊กส์ ตำนานแมนฯ ยูฯ เคยฝึกฝนมา ส่งผลให้ฟอร์มการเล่นในฟุตบอลโลก 2022 ของผมเยี่ยมมาก ๆ
คำเตือน "วิธีปลุก ปิศาจ" ต้องใช้ "ปิศาจ"
จะเห็นได้ว่า คุณสมบัติการนำทัพของพี่ม้าอาจจะมีความไปกันได้กับแมนฯ ยูฯ ทั้งการเล่นเกมรุกหรือ DNA การปั้นดาวรุ่งที่มีอย่างเต็มอัตราศึก แต่ข้อควรระวังที่สำคัญของการใช้ปิศาจเพื่อปลุกปิศาจ คือในอดีตที่ผ่านมาพลพรรคปิศาจแดงนั้นเคย "เจ็บปวดรวดร้าว" กับวิธีการเช่นนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว
โอเล กุนนาร์ โซลชา ยอดตำนานศูนย์หน้าของปิศาจแดง รับเผือกร้อนเข้าคุมทัพในช่วงที่ทีมตกต่ำ ช่วงปี 2018-2021 แม้จะพาทีมจบอันดับ 2 ในฤดูกาล 2020-2021 แต่ภาพรวมในวิธีการเล่นนั้นถือได้ว่าย่ำแย่มาก จากทีมที่มีจุดเด่นเรื่องเกมรุก กลายเป็นทีมที่มีจุดเด่นด้านความฉาบฉวย เน้นเกมรับ รอสวนกลับ หรือบางทีก็พ่ายแพ้แบบหมดรูป ถือว่าผิดวิสัยและ DNA ของปิศาจแดงอย่างมาก
หากกวาดสายตาไปที่ผู้จัดการทีมที่มีเลือกปิศาจแดงไหลเวียนอยู่ในร่างกายในตลาด จะพบว่า "มือไม่ถึง" และคุมทีมระดับล่าง ๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น เวย์น รูนี่ย์ ตำนานศูนย์หน้าดาวซัลโวตลอดกาลของแมนฯ ยูฯ ที่กำลังลุ่ม ๆ ดอน ๆ กับพลีมัธ ในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ไมเคิล คาร์ริก ที่ประสบชะตาเดียวกันกับมิดเดิลสโบรห์ ฟิล เนวิลล์ ที่ระหกระเหินไปคุมทัพ พอร์ทแลนด์ ทิมเบอร์ส ถึงสหรัฐอเมริกา หรือรุ่นเก่าหน่อยอย่าง มาร์ค ฮิวจ์ ที่เพิ่งสิ้นสุดทางโค้ชกับ แบรดฟอร์ด ซิตี้ ในลีกทู ของอังกฤษ ส่วนเกรี่ เนวิลล์ และพอล สโคลส์ อีกสองตำนานของทีมผันตัวไปเป็นนักวิจารณ์ฟุตบอลเรียบร้อย
จากผลงานครั้งนี้ แฟนบอลอาจจะต้องคิดหนักว่าวิธีการ "ปีศาจปลุกปีศาจ" จะสำเร็จหรือไม่ ในขณะที่กลุ่ม "INEOS" เจ้าของสโมสรกำลังรุกหนัก ทาบทาม "รูเบน อโมริม" มาเป็นกุนซือคนใหม่ การปลุกปิศาจอาจไม่จำเป็นต้องใช้ "อดีตคนคุ้นเคย" เสมอไป
แม้จะยังไม่ทราบอนาคต แต่สิ่งที่ "รุด" ลั่นวาจาไว้ เขามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือ มาเพื่อทำให้ที่นี่ดีขึ้นกว่าเดิม และอยู่ที่นี่เพื่อมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับสโมสรแบบไม่มีกั๊ก เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในทีมให้เพื่อให้สโมสรได้สิ่งที่ดีที่สุด
สิ่งนี้ไม่มีวันเปลี่ยนไปจากใจของ "รุด" ความตั้งใจของเขาเป็นจริงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว จากผลงานขัดตาทัพนัดแรกที่คว้าชัยชนะอย่างท่วมท้น
แหล่งอ้างอิง
The Coaches Voice, The Coaches Voice, Metro, Mirror, Eurosport, MUWS, Total Football Analysis, The Times, Main Stand
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แมนฯ ยูไนเต็ด ปลด "เทน ฮาก" พ้นผู้จัดการทีม
สื่อเผย "แมนฯ ยู" ทุ่มเงิน 10 ล้านยูโร ฉีกสัญญาคว้า "รูเบน อโมริม"