เป็นเหตุให้ หากนับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน มีผู้ว่าแบงก์ชาติ ถูกเด้งออกจากเก้าอี้แล้วถึง 4 คน
รัฐบาลและผู้ว่าฯ แบงก์ชาติตอนนี้ ก็ไม่พ้นอยู่ในวังวนความขัดแย้ง ที่มีให้เห็นตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เดินหน้านโยบายดิจิทัลวอลเล็ต และต้องการให้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ย กระทั่งเกิดข่าวลือหนาหูจะปลดผู้ว่าแบงก์ชาติ ความอึมครึมดังกล่าว ยังต่อเนื่องถึงรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
เพราะผู้ว่านายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาสนฤพุฒิ ยังย้ำในจุดยืนเดิม คือเศรษฐกิจประเทศ ไม่ได้อยู่ในขั้นวิกฤตดังที่ฝ่ายการเมืองพยายามสื่อสาร และโครงการแจกเงิน 1 หมื่น หากจะทำต้องลดขนาด แจกให้เฉพาะกลุ่มเปราะบาง
กระทั่งเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีคลัง เป็นนายพิชัย ชุณหวชิร ซึ่งเคยเป็นบอร์ดแบงก์ชาติมาก่อน จึงเข้าใจและเลือกใช้แนวทางเจรจาประนีประนอมกับผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ มีการพบปะหารือกันเมื่อไม่กี่วันก่อน ยืนยันเข้าใจกันดี และใช้คำพูดทำนอง “ให้อิสระการพิจารณาการลดดอกเบี้ยของกนง.” คือคณะกรรมการนโยบายการเงิน ที่มีผู้ว่าแบงก์ชาติเป็นประธาน
แตกต่างจากรัฐมนตรีพาณิชย์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ที่ยังเล่นบทแข็งกร้าว อยากนัดพบผู้ว่าแบงก์ชาติ พร้อมเตรียมข้อเสนอไว้ 3 ข้อ 1.ให้ลดดอกเบี้ย 2.แก้ค่าเงินบาทแข็งค่า 3.อัดฉีดเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
ทำนองแบงก์ชาติทำตัวขวางการแก้ไขฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ คล้ายๆ กับที่ น.ส.แพทองธาร ทำไว้ เมื่อครั้งยังเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้เล่นบทใหญ่เกินเบอร์ อ่านสคริปต์วิพากษ์แบงก์ชาติเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2567 ซัดว่า “ความเป็นอิสระของแบงก์ชาติเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ”
สถานการณ์จึงยังเขม็งเกลียวอยู่ในที จนถูกจ้องมองถึงเรื่องบอร์ดและประธานบอร์ดแบงก์ชาติคนใหม่ ที่มีชื่อ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯ-อดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ และอดีตรัฐมนตรีคลัง รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และล่าสุด ในสมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานที่ปรึกษานายกฯ
ไม่ว่าหวังจะใช้ความรู้ความสามารถ ไปทำหน้าที่ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ หรือมีเหตุผลใดก็ตาม แต่ในอีกด้านหนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นเสมือนตัวแทนฝ่ายการเมือง ที่ถูกส่งเข้าไปเพื่อควบคุมแบงก์ชาติ อันจะส่งผลให้ความเป็นอิสระของแบงก์ชาติหายไปทันที
ซึ่งจะไปขัดแย้งเรื่องคุณสมบัติและข้อห้ามการเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ 8 ข้อ ที่กำหนดในข้อที่ 4 คือเป็น หรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งไม่น้อยกว่าหนึ่งปี ขณะที่นายเศรษฐา เพิ่งพ้นตำแหน่ง 14 สิงหาคม 2567 ยังไม่ถึง 1 ปี
นำไปสู่การดึงเรื่องขอตรวจสอบคุณสมบัติ ผู้ได้รับการเสนอชื่อก่อน ในการประชุมพิจารณาเมื่อวันที่ 8 ต.ค.2567 ประกอบกับก่อนหน้านี้ นายกิตติรัตน์มีชื่อเป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จึงต้องมีการตรวจสอบว่า จะเข้าข่ายคุณสมบัติต้องห้ามข้อที่ 5 ระบุข้อห้ามเป็น หรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง เว้นแต่จะพ้นจากตำแหน่งไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
แต่กระนั้น ปฏิเสธความเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองหรือนักการเมืองไปไม่ได้ ก่อให้เกิดปฏิกริยาต่อต้านนักการเมือง หรือตัวแทนฝ่ายการเมือง เข้าไปนั่งเป็นบอร์ดหรือประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ดังได้เห็นจากการโพสต์ข้อความ ของอดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ นางธาริษา วัฒนเกส ที่ระบุถึงขั้นว่า จะก่อให้เกิดหายนะต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ยังไม่นับท่าทีจากคณะลูกศิษย์หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด ออกหนังสือต้าน แม้แต่นายสุรนันท์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรี และคนของพรรคไทยรักไทย ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ ยังออกโรงต้าน และเชื่อกันว่า ความพยายามจะเข้าไปครอบแบงก์ชาติของฝ่ายการเมือง จะถูกคัดค้านเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
แม้แต่ ดร.สมชัย จิตสุชน ผอ.วิจัยด้านการพัฒนา ทีดีอาร์ไอ ยังวิพากษ์ว่า การเมืองกดดันแบงก์ชาติหนักที่สุดในประวัติศาสตร์
จึงได้เห็นรัฐมนตรีช่วยการคลัง นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ ต้องออกโรงมาปฏิเสธ เรื่องนายกิตติรัตน์จะนั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ
แต่จะจริงแท้แค่ไหน ฝ่ายการเมืองจะยอมถอยเพื่อลดความตึงเครียดให้ผ่อนคลายลงหรือไม่ ยังต้องติดตามวันประชุมรอบใหม่ ว่าผลจะออกมาอย่างไร
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : เจาะพื้นที่ภูเก็ต "น้ำท่วมซ้ำซาก" เล็งดึงเอกชนพัฒนาระบบเตือนภัย