วันนี้ (30 ก.ย.2567) เพจเฟซบุ๊ก Animal Systematics Research Unit, CU รายงานงานวิจัยใหม่ ตัวกล้วยตากชนิดใหม่ของโลก 2 ชนิดจากประเทศไทย
ข้อมูลระบุว่า ตัวกล้วยตาก หรือทากเปลือยบก (land slug) เป็นสัตว์ที่อยู่ในกลุ่มหอยฝาเดียว แต่ร่างกายมีการลดรูปเปลือกไปจนหมด ไม่หลงเหลือเปลือกให้เห็นอีกเลย สัตว์กลุ่มนี้มีชื่อเรียกที่แตกต่างในหลายภาคของประเทศไทย
คนในภาคอีสานเรียกว่าแมงลิ้นหมา หรือตัวลิ้นหมา คนในภาคเหนือเรียกว่าขี้ตืกฟ้า คนในภาคใต้เรียกว่าทากฟ้า และคนในภาคกลางเรียกว่าตัวกล้วยตาก หรือทากดิน มักพบอาศัยตามกองใบไม้ผุพัง ใต้ขอนไม้ หรือบริเวณที่มีวัตถุปิดคลุมหน้าดิน ทั้งในแหล่งธรรมชาติและแหล่งที่ถูกรบกวนโดยมนุษย์
คณะนักวิจัยนำโดย น.ส.บวรลักษณ์ มิตรเชื้อชาติ นิสิตระดับปริญญาเอกภายใต้การดูแลของ ศ.ดร.สมศักดิ์ ปัญหา หน่วยปฏิบัติการซิสเทแมติกส์ของสัตว์ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาตัวกล้วยตากในสกุล Valiguna ทั้งหมดในประเทศไทย
โดยปัจจุบันได้รายงานทั้งหมด 3 ชนิด มีชนิด valiguna siamensis (Martens, 1867) หรือตัวกล้วยตากสยาม มีการกระจายทั่วประเทศไทย รวมถึงในประเทศเมียนมาร์และลาว
นอกจากนี้เนื่องจากหน้าตาภายนอกของตัวกล้วยตากมีความคล้ายคลึงกันมาก จึงต้องอาศัยข้อมูลอวัยวะภายในและแผนภูมิต้นไม้เชิงวิวัฒนาการจากข้อมูลดีเอ็นเอในการแยกชนิด ทำให้ค้นพบตัวกล้วยตากชนิดใหม่อีก 2 ชนิด ดังนี้
- Valiguna semicerina Mitchueachart & Panha, 2024 ตัวกล้วยตากหลังเกลี้ยง พบได้ที่ภาคตะวันออกของประเทศไทย และยังพบได้ในประเทศกัมพูชาและเมียนมา
- Valiguna crispa Mitchueachart & Panha, 2024 ตัวกล้วยตากถ้ำขมิ้น พบได้แค่ที่ถ้ำขมิ้น จ.สุราษฎร์ธานี
งานวิจัยนี้ได้เพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับทากเปลือยบกในวงศ์ Veronicellidae โดยชี้ให้เห็นว่ายังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความหลากหลายทางสัณฐานวิทยา และพันธุกรรมของทากเปลือยบก ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ได้รายชื่อชนิดที่ครอบคลุมใช้เป็นแนวทางในการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพต่อไปได้ในอนาคต
ติดตามผลงานที่ : https://zookeys.pensoft.net/article/126624
Mitchueachart B, Sutcharit C, Tongkerd P, Panha S (2024) Morphological and molecular evidence uncovers hidden species diversity in the leatherleaf slug genus valiguna (Systellommatophora, Veronicellidae) from Thailand. ZooKeys 1212: 79-107.
อ่านข่าว :