กรณีสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ประกาศปิดศูนย์การเรียนมิตตาเย๊ะ บางกุ้ง ต.บางกุ้ง อ.เมืองสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 4 ก.ย.2567 ทำให้มีการปิดศูนย์การเรียนรู้ในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ทุกแห่ง ส่งผลให้เด็กลูกหลานแรงงานข้ามชาติในพื้นที่กว่า 2,000 คน ต้องหยุดเรียนกลางคัน
วันนี้ (8 ก.ย.2567) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยเป็นอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจขยายตัวและส่งผลกระทบไปยังศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติในพื้นที่อื่นทั่วประเทศ ที่รองรับเด็กลูกหลานแรงงานข้ามชาติจำนวนหลายหมื่นคน ทั้งทางด้านการศึกษา ความปลอดภัยระหว่างที่พ่อแม่ต้องไปทำงาน หากเด็กต้องอาศัยอยู่เพียงลำพัง ย่อมเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาประโยชน์ ล่วงละเมิดทางเพศ การค้ามนุษย์ และยาเสพติด
กรณีนี้ขัดต่ออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ที่กำหนดให้การดำเนินการใด ๆ รัฐต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก สิทธิที่จะได้รับการพัฒนาและโอกาสทางการศึกษา อีกทั้งยังส่งผลต่อท่าทีของรัฐบาลที่เห็นชอบให้ถอนข้อสงวน ข้อ 22 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เมื่อวันที่ 9 ก.ค.2567 อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศ
"การปิดศูนย์การเรียนเหล่านี้ในขณะที่หน่วยงานรัฐ และสถานศึกษาในพื้นที่ยังไม่มีความพร้อมที่จะรองรับเด็ก จะส่งผลกระทบกับเด็กอย่างรุนแรง อาจส่งผลถึงเด็กนักเรียนในโรงเรียนที่จะมารองรับด้วย"
กสม.ขอให้กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทบทวนการปิดศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติแบบเหมารวม และเร่งดำเนินการจดแจ้งลงทะเบียนศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติทั่วประเทศ พร้อมรายละเอียดเด็กที่อยู่ในความดูแล ตามแนวทางที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 ดำเนินการขึ้นทะเบียนจดแจ้งศูนย์การเรียนรู้กับศูนย์ประสานงานการจัดการศึกษาเด็กต่างด้าว จำนวน 63 แห่ง ประมาณ 18,000 คน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประสานงานเกี่ยวข้องกับการศึกษาของเด็ก การคุ้มครองเด็ก สุขภาพ และอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับเด็ก
ทั้งนี้ กสม.พร้อมประสานความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขและคลี่คลายปัญหาในเชิงระบบ และนโยบาย เพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเด็กทุกคนที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทย
อ่านข่าว : ศธ.สั่งปิดศูนย์การเรียนฯ ลอยแพเด็กพม่า หลังไวรัลคลิปร้องเพลงชาติ