วันนี้ (28 ส.ค.2567) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัญหาสินค้านำเข้าที่ไม่ได้มาตรฐานและราคาต่ำทั้งแบบออนไลน์ลำธุรกิจในไทยของทุนต่างชาติ และขายในราคาถูกสร้างผลกระทบให้กับผู้ประกอบการไทยและผู้บริโภคที่ได้รับสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ ไม่มีมาตรฐาน
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์
โดยได้มีการประชุมร่วมกับ 28 หน่วยงาน เพื่อหามาตรการแก้ปัญหาสินค้านำเข้าที่ไม่ได้มาตรฐานและราคาต่ำ โดยได้จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามสินค้าและธุรกิจฝ่าฝืนกฎหมาย มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ทำงานร่วมกับหน่วยงานทีเกี่ยวข้อง ผ่านการดำเนินการใน 5 มาตรการหลัก แยกเป็นมาตรการเร่งรัดและมาตรการยั่งยืนรวม 63 มาตรการ
สำหรับรายละเอียด 5 มาตรการ ได้แก่ ให้หน่วยงานบังคับใช้ระเบียบ กฎหมายอย่างเข้มข้น โดยบูรณาการตรวจเข้มสินค้า ณ ด่านศุลกากร ทั้งในส่วนของการสำแดงพิกัดสินค้า การชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม การตรวจมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
การเพิ่มอัตราการเปิดตู้สินค้า (Full Container Load) เพิ่มความถี่ในการตรวจสอบของ Cyber Team ตรวจสอบสินค้ามาตรฐานจำหน่ายออนไลน์ในส่วนการประกอบธุรกิจ มีมาตรการเชิงรุกตรวจสอบผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการ ให้ปฏิบัติตามกฎหมายไทย การป้องปรามการกระทำอันมีลักษณะเป็นนอมินี
โดยให้ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นคนไทยต้องส่งเอกสารที่ธนาคารออกให้เพื่อรับรองหรือแสดงฐานะการเงิน พร้อมกับการขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัด
การปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้สอดคล้องกับการค้าอนาคต ซึ่งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) อยู่ระหว่างจัดทำประกาศฯ ให้ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มต่างประเทศที่มีคุณสมบัติตามกำหนด ต้องจดทะเบียนนิติบุคคล โดยให้มีสำนักงานในไทย พร้อมให้มีข้อกำหนดเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมและคุ้มครองผู้บริโภคไทย
นอกจากนี้ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมจะเร่งเพิ่มจำนวนรายการสินค้าควบคุมภายใต้มาตรฐานบังคับ ครอบคลุมรายการสินค้าให้มากที่สุดไปด้วยอีกทางหนึ่ง
ส่วนมาตรการภาษี โดยกรมสรรพากรอยู่ระหว่างปรับปรุงประมวลรัษฎากรสำหรับการกำหนดให้ผู้ขายสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศ และแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์ ที่จำหน่ายสินค้าในไทย ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร
ในขณะเดียวกัน กรมการค้าต่างประเทศเตรียมการจัดอบรมให้ความรู้เชิงเทคนิคกับภาคเอกชนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ และมาตรการช่วยเหลือ SME ไทย มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งพัฒนาศักยภาพการผลิตสินค้า และการประกอบธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ SMEs ไทย เพื่อให้แข่งขันได้ในยุคการค้าโลกใหม่ โดยเฉพาะการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้สามารถขยายการส่งออกผ่าน 9 แพลตฟอร์ม E-Commerce พันธมิตรในประเทศเป้าหมาย
นายภูมิธรรมกล่าวว่า มาตรการสุดท้าย คือ การต่อยอดความร่วมมือกับประเทศคู่ค้าเพิ่มขึ้น เช่น ประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เพื่อส่งเสริมการค้าผ่านช่องทางตลาด E-Commerce ให้เป็นอีกช่องทางในการผลักดันสินค้าไทยผ่าน E-Commerce ไปตลาดต่างประเทศให้ผู้ประกอบการไทย รวมถึงส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางรวบรวมและกระจายสินค้าสำหรับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในระดับภูมิภาค
ให้ทุกหน่วยงานเพิ่มความเข้มข้น และตรวจสอบใช้กฎหมายเดิมที่มีอยู่ ทั้งการจดทะเบียนการค้า ใบอนุญาต คุณภาพสินค้าจากต่างประเทศให้เป็นไปตามมาตรฐานของ อย. สมอ. การชำระอากรขาเข้าผู้ประกอบการต่างชาติ ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ให้กรมศุลกากรเปิดตู้สินค้าถี่ขึ้น นัดประชุมร่วมกันทุก 2 สัปดาห์ และให้ติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
รมว.พาณิชย์กล่าวว่า หากกฎหมายมีอยู่ ไม่เพียงพอ หรือไม่ทันสมัย ก็ให้พิจารณาปรับปรุง หรือปรับระเบียบใหม่อย่างเหมาะสม แต่ต้องอยู่ภายใต้กติกาการค้าที่เป็นสากล เช่น การเพิ่มสินค้าควบคุมตามมาตรฐานของ อย. และ มอก. การปรับปรุงระเบียบฟรีโซน การออกแนวปฏิบัติให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจากต่างประเทศต้องเข้ามาจดทะเบียนในไทย หรือการดูแนวทางจากต่างประเทศ เช่น ห้ามสินค้าเกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐ ขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นต้น
ด้าน นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์' รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า อยากให้หน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะกรมศุลกากรจริงจังในการตรวจเข้มสินค้าที่เข้ามาอย่างจริงจัง และใช้ทั้งกฎหมาย กฎระเบียนที่ไทยมีอย่างเข้มงวด โดยสินค้าที่น่าจะเป็นห่วง คือ สินค้าอุปโภคบริโภค อาหารสัตว์ เครื่องประดับราคาถูก สินค้าในอุตสาหกรรมเบา ของใช้ในบ้าน เป็นต้นซึ่งมีราคาถูก ดังนั้นหนาวยงานรัฐต้องเข้มงวดมากขึ้น
อ่านข่าว:
เฟดเปิดทางลดดอกเบี้ย กรุงศรี ชี้เงินบาทซื้อขาย 33.75-34.30
ส่งออกเดือน ก.ค. ขยายตัว 15.2% สูงสุดในรอบ 28 เดือน
สภาพัฒน์ฯเผย คนไทยว่างงาน-หนี้เกินตัว ใช้โซเชียลกู้ยืมนอกระบบ