วันนี้ (24 ส.ค.2567) พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. สั่งการให้ พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 ส่งเจ้าหน้าที่ออกสืบสวนสอบสวน กรณีที่มีกลุ่มผู้เสียหายถูกกลุ่มมิจฉาชีพติดต่อเข้ามาทำความรู้จักบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และได้คุยกันต่อผ่านแอปพลิเคชัน Line จนเกิดความสนิทสนม ต่อมาจึงชักชวนให้ร่วมลงทุนเทรดหุ้นต่างประเทศ อ้างว่าได้รับผลตอบแทนสูง จนผู้เสียหายหลงเชื่อและมีการโอนเงินให้กลุ่มผู้ต้องหา รวม 9 ครั้ง รวมมูลค่ากว่า 3,730,000 บาท
พ.ต.อ.กฤษดา มานะวงศ์สกุล ผกก.1 บก.สอท.5 ได้นำทีมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนลงพื้นที่ติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุ พบว่า กลุ่มมิจฉาชีพได้เปิดบัญชีธนาคารในรูปแบบบริษัทเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และใช้เป็นช่องทางการรับโอนเงินที่ได้จากผู้เสียหาย
จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า หลังจากเหยื่อโอนเงินเข้าบัญชีม้าของบริษัทแล้ว จะมีการโอนเงินออกไปยังบัญชีม้าแถวอื่น ๆ ในทันที ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.หนองคาย จ.ระยอง จ.พิษณุโลก และ จ.พระนครศรีอยุธยา และไม่มีการประกอบกิจการจริงแต่อย่างใด จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายค้นกลุ่มบริษัทดังกล่าว
ต่อมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน กก.1 บก.สอท.5 ได้กระจายกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมายทั้ง 4 แห่ง ดังนี้
- จุดที่ 1 บริเวณบริษัทแห่งหนึ่งใน อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย ซึ่งจดทะเบียนเป็นบริษัทผลิตผลิตภัณฑ์จากสัตว์ แต่พบว่ามีสภาพเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเล็ก ๆ ในชุมชน มีโต๊ะเพียงแค่ 1 โต๊ะ
- จุดที่ 2 บริษัทใน อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ซึ่งจดทะเบียนการค้าเป็นบริษัทขายปลีกเสื้อผ้า แต่พบว่าเป็นห้องแถวชั้นเดียวสำหรับพักอาศัย ภายในไม่มีการประกอบกิจการแต่อย่างใด
- จุดที่ 3 ห้างหุ้นส่วนจำกัดใน อ.เมืองพิษณุโลก จ.พิษณุโลก ซึ่งจดทะเบียนการค้าเพื่อจำหน่ายอาหารทะเลแปรรูป อาหารสัตว์ แต่พบว่ามีสภาพเป็นบ้าน 2 ชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ ไม่มีการประกอบกิจการค้าแต่อย่างใด
- จุดที่ 4 บริษัท แห่งหนึ่งใน อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา จดทะเบียนการค้าเพื่อขนส่งสินค้าและคนโดยสารทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่พบว่าสภาพจริงเป็นร้านขายของชำและบ้านพักอาศัย ไม่มีการประกอบกิจการบริษัทแต่อย่างใด
จากการตรวจสอบความเชื่อมโยงของกลุ่มบริษัทดังกล่าว พบว่ามีการหลอกลวงผู้เสียหายจากทั่วประเทศ ซึ่งมีเหยื่อทยอยเข้าแจ้งความแล้ว จำนวน 27 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 70,391,813 บาท
พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า พนักงานสอบสวนได้ออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องไว้แล้ว จำนวน 9 คน และจับกุมได้แล้ว จำนวน 4 คน ซึ่งทำหน้าที่เป็นกรรมการบริษัทและเปิดบัญชีธนาคาร โดยผู้ต้องหายอมรับและเปิดเผยว่า ได้รับการว่าจ้างให้ไปจดทะเบียนพาณิชย์ในลักษณะห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือ บริษัทจำกัด เพื่อนำไปเปิดบัญชีธนาคาร 1 คนต้องเปิดบัญชีธนาคารให้ได้จำนวน 5 บัญชี จะได้รับค่าตอบแทนบัญชีละ 7,000 บาท ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าจ้างการเปิดบัญชีม้าในนามบุคคลธรรมดา ทางตำรวจไซเบอร์อยู่ระหว่างขยายผลเพื่อจับกุมนายทุนและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงดำเนินคดีในข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันโดยทุจริตหรือหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ซึ่งการกระทำผิดดังกล่าวมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน - 7 ปี และปรับตั้งแต่ 1,000 - 14,000 บาท นำตัวส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย
อ่านข่าวอื่น :
ทางหลวงชนบทส่ง จนท.ช่วยเหลือ "น้ำท่วมแพร่-ดินสไลด์ภูเก็ต"