ในงานจึงเต็มไปด้วยคนดัง นักการเมืองระดับรัฐมนตรี และ สส.ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่กำลังลุ้นเข้าร่วมรัฐบาล กลุ่มขาประจำที่นายทักษิณไปไหนต้องไปด้วย
และที่ขาดไม่ได้ คือนักธุรกิจ เจ้าสัวใหญ่ อาทิ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด
นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) นางศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหารกลุ่มเดอะมอลล์ ซึ่งบางส่วน ถือเป็นกลุ่มทุนที่ใกล้ชิดและเคยให้การสนับสนุนฝ่ายการเมือง
หากมองในมุมดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติ แม้แต่กลุ่มทุนที่อาจถูกมองว่า อยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหารรัฐบาลชุดที่ผ่านๆ มา เพราะแม้แต่แกนนำกลุ่มการเมือง ที่มีบทบาทในการเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลบางคณะ สุดท้ายยังสามารถหนุน หรือเป็นส่วนหนึ่งในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้โดยไม่เคอะเขิน
ประเด็นที่น่าสนใจ คือวิสัยทัศน์ที่นายทักษิณแสดง นอกจากกูรูการเมือง ส่วนใหญ่ฟันธงตรงกัน คือ จะถูกนำมาร้อยเรียงเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย ที่รัฐบาลจะแถลงต่อรัฐสภาแล้ว ยังถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีหลากหลายเรื่องที่นายทักษิณพูดได้ทั้งหมด
ตั้งแต่ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยที่เติบโตช้ามานาน จึงจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเชื่อมโยงไปถึงนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต คนละ 10,000 บาท ที่มีเจตนารมณ์เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และปูทางให้กับคนไทยเข้าใจเรื่องเทคโนโลยี และต่อยอดถึงอนาคตข้างหน้าสามารถนำแอปพลิเคชั่นไปใช้กับทุกบริการของภาครัฐได้หมด เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นก 3 ตัว
เรื่องกรอบเวลาที่ต้องใช้ภายในเดือนกันยายน ใช้งบประมาณราว 145,000 ล้านบาท แจกเงินให้กับกลุ่มเปราะบาง 13.5 ล้านคน และคนพิการอีกราว 1 ล้านคน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องหนี้ครัวเรือนของไทยที่มีสูงเกือบ 91 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และการปรับโครงสร้างหนี้
เรื่องแนวทางธุรกิจภาคการผลิต ด้านการเงิน รวมถึงภาคบริการ ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ปัญหายาเสพติด การปฏิรูประบบราชการ เรื่องรถไฟฟ้าอีวี และอื่น ๆ ในช่วงเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
ยังไม่นับช่วงเวลาพิเศษตอบคำถามสื่อ เรื่องสถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบัน รวมทั้งเรื่องสาเหตุที่ทำให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไม่พอใจถึงขั้นไม่ยอมพูดคุยด้วยถึงขณะนี้
โดยอ้างว่า พล.อ.ประวิตร เมื่อเกษียณอายุราชการแล้ว ได้มาขอเป็นประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. แต่ตนเห็นว่า เป็นนายทหาร อาจไม่มีความรู้ด้านกฎหมายเพียงพอ และอ้างชื่อประมุขฝ่ายนิติบัญญัติคนหนึ่งไปแจ้งเหตุผลดังกล่าว
แต่ที่สำคัญ มีเสียงวิพากษ์ถึงบทบาทของนายทักษิณในงานแสดงวิสัยทัศน์ครั้งนี้ ว่าอาจไม่เหมาะสมนัก และเกินเลยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะไม่ชมีอำนาจหน้าที่หรือมีตำแหน่งๆในรัฐบาล จึงควรให้เป็นบทบาทของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว ในฐานะนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ จะเหมาะสมกว่าจะชิงแสดงเสียเอง
หาไม่แล้ว ความไม่มั่นใจในตัวเองอย่างที่ควรจะมีและควรจะเป็นของ “แพทองธาร” อาจจะเพิ่มดีกรีมากขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์สำหรับใครเลย รวมทั้งความคาดหวังของทุกภาคส่วนที่มีต่อผู้นำรัฐบาลป้ายแดง
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : "สุดารัตน์" ย้ำไม่เสียดาย หาก "สส.ไทยสร้างไทย" ย้ายพรรค