หากนับถอยหลัง รัฐบาลเพื่อไทยใหม่ภายใต้การนำของ "แพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 จะเหลือเวลาการทำงานอีก 2 ปี 11 เดือน ที่ต้องฝ่าฝันมรสุมการเมืองและเศรษฐกิจที่รุมเร้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ยังไม่รวมกับนโยบายที่เคยสัญญา หาเสียงไว้ ที่จะถูกทวงถาม ราวเป็นเงาติดตามตัว โดยเฉพาะนโยบายเรือธง "โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท" ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.-ปัจจุบัน มีประชาชนแห่ลงทะเบียนไปแล้วกว่า 30 ล้านคน และยังคงตั้งหน้ารออย่างมีความหวัง
หากโครงการนี้ต้องสะดุด หรือยุติลง ทั้ง ๆ ที่ "นายกฯคนใหม่" คือ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ทายาทสายตรง "ทักษิณ ชินวัตร" และหากรัฐบาลอยู่ครบเทอม การเลือกตั้งปี 2570 คงไม่ต้องทำนายอนาคตล่วงหน้าของว่าที่ผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทย จะเป็นอย่างไร
ท่ามกลางกระแสข่าวสะพัดว่า หลังบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลเข้าไปบ้านจันทร์ส่องหล้า และได้พบ "ทักษิณ" เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยมีการแจ้งว่า จะขอยุติโครงการดิจิทัลวอลเล็ตออกไป เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี และทางพรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้ชี้แจงต่อประชาชนเอง
แต่ "ภูมิธรรม เวชยชัย" รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกชาวบ้านที่มาสส.ที่รัฐสภาวันนี้( 16 ส.ค.)หลังโหวตเลือก "แพทองธาร" แล้วเสร็จ ตะโกนถามถึง 2 ครั้งว่า "เงินดิจิทัลวอลเล็ตเมื่อไหร่จะได้" ได้ตอบคำถามกับผู้สื่อข่าวในภายหลังว่า "รอนายกฯคนใหม่ รอรัฐบาลใหม่ แถลงนโยบายก่อน" และต้องรอคุยกับพรรคร่วมด้วย
ปฎิเสธไม่ได้ว่า ที่ผ่านมาโครงการดังกล่าวในยุครัฐบาล "เศรษฐา ทวีสิน" ถูกหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องท้วงติงมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช) และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่อยากให้แจกเงินเฉพาะกลุ่มเปราะบางเท่านั้น โดยเฉพาะ "เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประ เทศไทย (ธปท.)ที่ไม่เห็นด้วย และได้ยกข้อกฎหมายว่าตาม พ.ร.บ.เงินตรา ก่อนดำเนินโครงการนี้จะต้องมีเงินก่อนถึงจะดำเนินโครงการได้
โดยที่ผ่านมารัฐบาลเศรษฐา ได้พยายามหาแหล่งเงิน ใช้เงินจากงบประมาณรายจ่ายปี 2567-2568 วงเงินรวม 450,000 ล้านบาท ประกอบด้วย งบประมาณรายจ่ายปี 2567 วงเงิน 165,000 ล้านบาท แบ่งเป็น งบเพิ่มเติม 122,000 ล้านบาท และบริหารจัดการงบประมาณ 43,000 ล้านบาท งบประมาณรายจ่ายปี 2568 มีวงเงินรวมทั้งสิ้น 285,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบกลางวงเงิน 152,700 ล้านบาท และการบริหารจัดการงบประมาณ 132,300 ล้านบาท
เมื่อ "เศรษฐา" พ้นตำแหน่งนายกฯ หลังศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด และ "แพทองธาร" มารับไม้ต่อ หากไม่เดินหน้าโครงการต่อไป อาจติดกับดักตัวเองได้ จึงมีความเป็นไปได้ว่า "เรือธง"นโยบายนี้ คงต้องยอมถอย แต่จะถอยอย่างไร เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อคะแนนนิยมและฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยให้น้อยที่สุด เชื่อว่า อีกไม่นานคงจะได้คำตอบ
"ศิริกัญญา ตันสกุล" รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะกุนซือด้านเศรษฐกิจ มองว่า ถอยได้เพราะ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ที่ผ่านทั้ง 2 สภาฯไป ไม่ได้เขียนว่า จะต้องนำไปใช้สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่เขียนกว้างมาก ว่า เป็นค่าใช้จ่ายการกระตุ้นเศรษฐกิจ เสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ
"... ดร.วิษณุ เครืองาม บอกว่า ดิจิทัลวอลเล็ตมีปัญหาในข้อกฎหมาย เขากำลังหาวิธีแก้ไขกันอยู่ ... ถามว่า เขาทำท่าจะถอยไหม เหมือนมีสัญญาณมาว่า กำลังเจอกับปัญหาใหญ่ข้อกฎหมายที่จำเป็นต้องแก้ไข สุดท้ายจะถอย ไม่ถอย จะหาทางออกได้หรือเปล่า คิดว่าสุดท้ายแล้ว จะเดินหน้าต่อ เพียงแต่อาจจะเดินเลี้ยวไปสักหน่อย ปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการให้เป็นไปตามกฎหมาย ประเด็นสำคัญ คือ การใช้งบฯข้ามปี ที่อาจจะใช้ไม่ได้ ก็อาจจะต้องหาวิธีการที่จะจ่ายออกมาเป็นเงินสด หรือว่า อะไรก็ได้ก่อนวันที่ 30 ก.ย.2567 " รองหัวหน้าพรรคประชาชน ระบุ
อย่างไรก็ตาม หากส่องความเคลื่อนไหวของประชาชน ส่วนใหญ่เรียกร้องให้แจกเป็นเงินสด แทนการไปแลกเป็นดิจิทัล เพื่อสามารถนำไปใช้จ่ายเพื่อยังชีพด้านอื่นๆ ส่วนรัฐบาลจะทำได้หรือไม่ คงต้องติดตาม ว่ากันว่า ทางพรรคร่วมรัฐบาล ก็อยากให้มีการปรับลดขนาดดิจิทัลวอลเล็ต ให้เป็นโครงการที่มีขนาดเล็กลง ในลักษณะ "มินิมอล" ให้ตรงตามคำท้วงติงของฝ่ายต่าง ๆ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะหน้า และแก้ปัญหาปากท้องชาวบ้านไปก่อน ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
ไม่เพียงโครงการแจกเงินดิจิทัลฯที่รัฐบาลใหม่ชุดเดิม ต้องเร่งดำเนินการ ยังมีโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการขายคอนโด 75% ต่างชาติอยู่นาน 99 ปี นโยบายตั้งบ่อนคาสิโน และโครงการลงทุนแลนด์บริดจ์ได้เช่าที่ดิน 3 แสนไร่นาน 99 ปี ซึ่งมีการขับเคลื่อนไปบ้างแล้วในยุคของ "เศรษฐา" แต่ยังไม่เกิดมรรคผลที่เป็นรูปธรรมชัดเจน และเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายการทำงานของรัฐบาล "แพทองธาร"
เช่น การดำเนินการสถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex ที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะตั้งอยู่ที่ โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ที่จังหวัดระยอง ซึ่งถูกพรรคร่วมรัฐบาล “ภูมิใจไทย” ทักท้วงใน 4 ประเด็น หลังพรรคเพื่อไทยได้ส่งร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ...มาให้พิจารณา ก่อน "เศรษฐา"จะถูกคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นจากตำแหน่งเพียง 2 วัน
โดยพรรคภูมิใจไทย เห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องการพนันผิดกฎหมาย อาจจะทําให้มีทั้งการพนันบนดิน และใต้ดิน ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาต่อไปได้ และเรื่องผลประโยชน์ต่อรัฐ และต่อประชาชนที่ยังไม่ชัดเจน และยังไม่มากพอ สําหรับการที่จะลงทุนทําเรื่องนี้ , ผลกระทบในเชิงของการขับเคลื่อน และกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่ยังไม่มั่นใจ 100% ว่า การทํากาสิโนจะเป็นสิ่งที่กระตุ้นการท่องเที่ยวของประเทศไทย เนื่องจากเรามีหลายอย่างที่เป็นสิ่งที่ดีกว่า และเป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ แต่การพนันก็ไม่ใช่หนึ่งในนั้น
และใน พ.ร.บ.ฉบับนี้ เบื้องต้นไม่เห็นมาตราไหนที่ระบุในเรื่องของการช่วยเหลือ หรือ ดูแลแรงงานไทยในการจ้างงาน ทั้งเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลก็คงมีการแสดงความคิดเห็นเช่นเดียวกัน ซึ่งต้องรอดูว่ารัฐบาลจะนำประเด็นเหล่านี้ไปพิจารณาอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ "แพทองธาร" ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ต้องเข้ามากำกับดูแลทิศทางในฐานะประธานฯ จะนำประเด็นเหล่านี้ไปพิจารณาอย่างไร รวมทั้งการเขียนกฎหมายที่กำหนดให้บริษัทที่จะได้รับงานต้องมีทุนจดทะเบียน 1 หมื่นล้านบาทว่า เข้าข่ายกีดกันบริษัทอื่นหรือไม่ ซึ่งถือเป็นประเด็น "เผือกร้อน"ของรัฐบาลเพื่อไทย ในช่วงรอยต่อ ระยะเวลาสั้นๆ
แม้เวทีนี้จะมี "พ่อ" เป็น "พี่เลี้ยง" ก็ใช่ว่า จะฝ่าด่านไปได้ง่าย โดยเฉพาะโครงการหลายหมื่นล้านที่มีกลุ่มทุนพลังงาน นายทุน นักธุรกิจ นักการเมือง และนักธนกิจการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายความสามารถของ "แพทองธาร" เมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกฯ
อ่านข่าว : ฉลุย! มติสภา 319 เสียง โหวต "แพทองธาร" นั่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31
ไม่คิดว่าเก่งที่สุด เปิดใจ "แพทองธาร" นั่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31
"ฐากร" แจงปมงูเห่า ยัน ทสท.อยู่ฝ่ายค้าน โหวตสวนให้ประเทศไปต่อ