โดยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ได้อธิบายเหตุผลไว้น่าสนใจและชัดเจน ตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2560 ได้ยกระดับและคุณสมบัติของรัฐมนตรีไว้สูงกว่า สส. โดยต้องมีคุณธรรม และยึดหลักธรรมาภิบาล
การที่นายพิชิต เคยถูกศาลฎีกาสั่งจำคุก 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล กรณีนำถุงขนมใส่เงินประมาณ 2 ล้านบาท ไปมอบให้เจ้าหน้าที่ธุรการศาล ระหว่างการพิจารณาคดีที่ดินรัชดาฯ ของศาลฎีกาคดีแผนกอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นที่รับรู้รับทราบของวิญญูชนทั่วไปเป็นอย่างดี
นายเศรษฐา ในฐานะนายกรัฐมนตรี ย่อมรู้หรือควรรู้ในเรื่องดังกล่าว ข้ออ้างเรื่องการเป็นนักธุรกิจ ไม่ใช่นักการเมืองอาชีพ มีความรู้เรื่องกฎหมายน้อย จึงฟังไม่ขึ้น รวมทั้งการชี้แจงเป็นเอกสารของนางณัฐฏ์จารี อนันตศิลป์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในฐานะพยานของฝ่ายผู้ถูกร้อง (นายเศรษฐา)
นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์สื่อแทบจะทันทีทันใด ที่ทราบผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คือยอมรับในคำวินิจฉัยของศาล แต่ยอมรับว่า ติดใจที่ถูกกล่าวหาว่า “ขาดจริยธรรมอย่างร้ายแรง” เพราะที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่อย่างที่สุดแล้ว
ไม่เพียงนายเศรษฐาต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยทันทีเท่านั้น แต่ยังรวมถึง ครม.ทั้งคณะต้องพ้นจากรัฐมนตรีด้วย
เท่ากับจากนี้ไป ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่สภาผู้แทนราษฎร ต้องเรียกประชุม สส.และดำเนินการโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ จากแคนดิเดตนายกฯ ที่พรรคการเมืองเสนอชื่อ ในการเลือกตั้งเดือนพฤษภาคม 2566
แต่ครั้งนี้ การโหวตเลือกจะเป็นเฉพาะ สส. ไม่เกี่ยวกับ สว.หรือสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่
เท่ากับการเมืองนับจากนี้ จะเต็มไปด้วยการนัดเจรจาหารือ ต่อเรืองทางการเมือง ระหว่างพรรคการเมืองต่าง ๆ และอาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ถึงขั้นมีการสลับขั้วการเมืองก็เป็นได้
แม้พรรคฝ่ายค้านสำคัญ อย่างพรรคก้าวไกล เพิ่งโดนคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญเช่นกัน ให้ยุบพรรค และรวมตัวในพรรคใหม่ คือพรรคประชาชน ก็มีโอกาสในสมการการเมืองใหม่ได้ ไม่ต่างจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีโอกาสจะได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาลเช่นกัน
แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า พรรคหรือขั้วการเมืองใด สามารถเจรจาและการรวบรวมเสียงข้างมากในสภาได้มากกว่ากัน
ยังไม่นับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมา รวมทั้งโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ และเป็นเรื่องที่ประชาชนโดยทั่วไป คาดหวังและรอคอยว่า จะได้เริ่มใช้ในปลายปีนี้ ราวเดือนธันวาคม ยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไร รัฐบาลชุดใหม่จะเดินหน้าหรือขับเคลื่อนโครงการนี้ต่อไปอีกหรือไม่
ขณะที่อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของประเทศด้านเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ที่เป็นเรื่องหลักมีผลกระทบต่อประชาชนแบบคาราคาซังมาตลอดในช่วงที่ผ่านมา ยังจะเป็นปัญหาที่มักหมมต่อไป ไม่รู้ใครจะแก้
ยังมีเรื่องความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ที่ส่อเค้าจะหยุดชะงักงัน และรอดูสถานการณ์กันต่อไป
เป็นโจทย์ใหญ่ที่ไม่แคล้วจะถูกโยนไปที่รัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งยังไม่รู้จะเป็นใคร
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : สื่อนอกตีข่าวถอด "เศรษฐา" พ้นนายกฯ ดำรงตำแหน่งไม่ถึงปี