คืบหน้าคดีเรือน้ำมันเถื่อนที่ถูกตรวจยึดได้ และคดีขโมยเรือของกลางไปจากการควบคุม เพื่อขยายผลไปถึงผู้ที่ร่วมกระทำความผิดทั้งพลเรือน และเจ้าหน้าที่รัฐที่อาจจะมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง
วันนี้ (24 มิ.ย.2567) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เผยหลังเข้าร่วมประชุมประชุมร่วมกันระหว่างพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม และกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปท.) ว่า ได้ตรวจสอบหลายมิติ ทั้งการนำข้อมูลในโทรศัพท์มือถือของตำรวจจำนวน 9 นายที่ปฏิบัติหน้าที่ช่วงที่เรือหายไปให้ ส่งให้กับตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ตรวจสอบ และนำมาวิเคราะห์ว่ามีผู้ใดที่เกี่ยวข้องบ้าง
ส่วนเจ้าหน้าที่ที่เข้าข่ายละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ เบื้องต้นตำรวจ 3 นาย ที่เข้าข่ายกระทำความผิดตามมาตรา 157 แต่ไม่ถึงกับต้องออกหมายจับ
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
ส่วนกรณีที่ข้อความการสนทนาพาดพิงถึงตำรวจ ได้สั่งให้กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช) เป็นผู้ตรวจสอบ ภายในวัน 7 วัน ยืนยันจะดำเนินการกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง
ยอมรับว่าข้อมูลในเชิงลึก พบมีเจ้าหน้าที่ระดับสูง ระดับผู้บริหาร 3-4 คนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเรียกรับผลประโยชน์แต่ยังไม่มีหลักฐาน
พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม
ด้านพ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม เปิดเผยว่า ในคดีเรือหาย เบื้องต้นจากการสืบสวนยังไม่พบข้อมูลหลักฐานว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้อง นอกจากกลุ่มลูกเรือและผู้ควบคุมเรือ คาดว่าในสัปดาห์หน้าจะมีความชัดเจนเรื่องการออกหมายจับผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังได้ 4 ถึง 5 คน
ส่วนเรือ K9 ที่รับถ่ายน้ำมันจากเรือทั้ง 3 ลำยอมรับว่าติดตามยาก แต่มีข้อมูลเจ้าของเรือ และคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว พบข้อมูลเรือลำดังกล่าวเป็นของเสี่ยโจ้ สำหรับตัวเสี่ยโจ้ ปัตตานี การสืบสวนทราบอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านและเป็นบุคคลสองสัญชาติ โดยมีสัญชาติกัมพูชาด้วย ได้ประสานเรื่องการออกหมายจับสากลแล้ว คิดว่าไม่ใช่เรื่องยาก
ส่วนกรณีเรือหาย เชื่อเสี่ยโจ้ มีส่วนรู้เห็นแน่นอน มั่นใจว่าพยานหลักฐานที่ได้รวบรวมมากพอสมควร ที่จะขอออกหมายจับได้
อ่านข่าวอื่นๆ
แก้รธน.-โละปาร์ตี้ลิสต์ เปิดทางบ้านใหญ่พลิกสู้ "ก้าวไกล"
"ไฟดูด" ภัยใกล้ตัว รู้วิธีสังเกต - เอาตัวรอด - ช่วยเหลือ