ล่าสุด นายเอกลักษณ์ วารีชล หรือ เอก ปากน้ำ คนที่ “ผู้การฯ เต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. ระบุว่า เป็นคนสำคัญในกระบวนการตบทรัพย์ครั้งนี้ และคาดด้วยว่า เตรียมออกหมายจับเพิ่มอีก 2-3 คน ในวันที่ 6 ก.พ.2567
สิ่งที่จะได้เพิ่มเติมด้วย คือวิธีการทำงานของคนกลุ่มนี้ ที่ตำรวจแจงว่า มีการทำงานเป็นทีม ทำเป็นขบวนการ ทั้งคนชี้เป้า คนเคลียร์ และคนรับเงิน และยังมีข้อมูลว่า มีคนแทรกตัวเข้าไปทั้งในทำเนียบและสภาฯ สะท้อนให้เห็นว่า มียังคอนเนคชั่นกับคนวงในเป็นตัวช่วย
จึงเกิดคำถามว่า มีผู้ร่วมขบวนการในระดับที่สูงกว่านี้หรือไม่ เพราะกลไกการทำงานแบบนี้ต้องมีคนคอยทำหน้าที่ประสานงานและติดต่อ ไม่ใช่ใครคิดจะทำก็ทำได้
ประกอบกับการเปิดแถลงของนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” และ น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัคร สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ มีหลายคำพูดเป็นปริศนาอยู่ไม่น้อย รวมทั้งเนื้อหาการแถลง
กับเสียงในคลิปที่ถูกระบุว่า เป็นเสียงสนทนากับทั้งอธิบดีและภรรยาอธิบดี และมีการอ้างชื่อระดับรัฐมนตรี ให้ไปช่วยเคลียร์เรื่องนี้ กระทั่ง ร.อ.ธรรมมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรฯ ต้องออกโรงตอบโต้ถึงขั้นใช้คำว่า “ไม่โง่พอที่จะไปใช้คนแบบนี้”
นายยศวริศ ไม่เพียงนำพานไปสาบานระหว่างแถลงข่าวว่า ไม่เกี่ยวกับแก๊งตบทรัพย์ แค่เป็นคนกลางไปช่วยเคลียร์ให้ และย้ำว่า อธิบดีที่เป็น “เสื้อแดงรุ่นน้อง” ถึงขั้นกราบที่ตัก เท่านั้น ยังเปิดปมคำถามสำคัญ เมื่อมีเรื่องถูกร้อง หากคนเราไม่ผิด ไม่มีแผล แล้วจะไปเคลียร์ทำไม
เข้าทำนอง งานนี้ “ไม่ยอมตายเดี่ยว” ทั้งยังมีเรื่องเชื่อมโยงในฐานะผู้ช่วยหาเสียงให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่เมื่อเกิดเรื่องนี้ คล้ายจะถูกเทตั้งแต่ต้น จากทั้งจากหัวหน้าพรรค นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค และเลขาธิการพรรค และนายเอกนัฏ พร้อมพันธ์ ที่ย้ำชัดเป็นเรื่องตัวบุคคล ไม่เกี่ยวกับพรรค
ทั้งยืนยัน นายยศวริศถูกถอดออกจากคณะทำงานเขตราชการที่ 11 ที่แต่งตั้งโดยนายพีระพันธุ์ รองนายกฯ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 แต่ในวันที่ “แผนแตก” ถูกตำรวจ ปปป.ปฏิบัติการติดตามตัว นายยศวริศยังเดินทางไปทำเนียบรัฐบาล เพราะมีการประชุมคณะทำงานดังกล่าว
นายพีระพันธ์ ยังบอกปัดไม่รู้ และยืนยันไม่ยุ่งกับเรื่องนี้ 2-3 วันติดต่อกัน เพราะเรื่องนี้มีผลต่อภาพพจน์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่กำลังสร้างผลงานเชิงบวกในสายตาประชาชน เรื่องตรึงราคาค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมัน
แต่กลับโดน “ทัวร์ลง” เรื่องนี้ ล่าสุด “เสธ.หิ” นายหิมาลัย ผิวพรรณ หนึ่งในแกนนำพรรค ยังออกมาตอกย้ำอีกคนว่า เป็นเรื่องส่วนตัว ต้องไปพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรม ยืนยัน “รวมไทยสร้างชาติ” เป็นพรรคการเมือง ไม่ใช่โรงเรียนอนุบาลทำนอง “ไม่ใช่” ละอ่อนทางการเมือง
ปมคำถามที่ตามมาคือ ทำไมต้องกระทรวงเกษตรฯ ทำไมจึงมีเรื่องถูกร้องเรียนใหญ่ถึง 2 กรม ไม่ใช่เพียงกรมการข้าว ยังมีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร
ที่ก่อนหน้านี้ ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อกรรมการติดตามการบริหารงบประมาณ ของสภาผู้แทนฯ ให้ตรวจสอบโครงการจัดซื้อเครื่องบินขนาดกลางของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร มูลค่า 1.1 พันล้านบาท มาก่อนแล้ว ตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค.2566
แม้อธิบดีกรมฝนหลวงฯ ยืนยันว่า พร้อมไปชี้แจงต่อกรรมาธิการ แต่นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีที่ดูแลกำกับกรมนี้ กลับยังไม่ได้แจกแจง หรือตอบข้อร้องเรียนชัดเจน อย่างที่ควรจะเป็น
นอกจากปฏิเสธไม่มีล็อคสเปค และสั่งให้อธิบดีกรมฝนหลวงฯ เป็นผู้ชี้แจงแทน ยังไม่นับการจัดซื้อรอบใหม่ ไม่ได้เข้าร่วมโครงการข้อตกลงคุณธรรมเหมือนครั้งแรก ทำให้ตัวแทนภาคประชาชน ไม่สามารถติดตามตรวจสอบข้อมูลได้
ขณะที่กรมการข้าว อยู่ในการกำกับดูแลของนายอนุชา นาคาศัย รมช.เกษตรฯ อีกคน เจ้าตัวกลับยังไม่ได้ออกโรงชี้แจงเรื่องนี้เลย แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ร.อ.ธรรมมนัส แต่ในฐานะที่กำกับโดยตรง และมีชื่อคนในพรรคเข้าไปพัวพันด้วย น่าจะมีเทคแอคชั่น หรือมีคำชี้แจงอะไรในโครงการนี้บ้าง แต่กลับ “นิ่งเงียบ”
เมื่อส่วนใหญ่ ยังอึมครึมไม่ชัดเจน เพียงแค่การออกโรงป้องกรมการข้าว หรือกรมใด ๆ ในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ยืนยันโปร่งใส ตรวจสอบได้ ของ รมว.เกษตรฯ คนเดียวไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในยุคความโปร่งใส
เรื่องข้อมูลและการประมูลโครงการ ทำให้เรื่องไฟไหม้ที่ชั้น 2 อาคารกระทรวงเกษตร โซนห้องทำงานนายไชยา และคณะที่ปรึกษา ถูกวิพากษ์และตั้งข้อสังเกตว่า จะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่
เพราะไม่ว่าโครงการไหน คนยังค้างคาใจ รู้สึกคลุมเครืออยู่ การขยับตัวจะทำอะไร ยิ่งจะทำให้ถูกตั้งข้อสงสัยมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา