วันนี้ (18 ธ.ค.2566) นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยความคืบหน้าผลสอบ กรณี รพ.เอกชน ปฏิเสธรักษานักท่องเที่ยวไต้หวันจนเสียชีวิตว่า ตามระบบการแพทย์ฉุกเฉินและกฎหมายไทยให้ความคุ้มครองนักท่องเที่ยวเทียบเท่าคนไทย
โดยรัฐบาลได้ยังแจ้งไปยังกรมประกันภัยว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย จะต้องมีแพ็กเกจประกัน ครอบคลุมการรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วย และอุบัติเหตุต่าง ๆ ซึ่งชาวไต้หวันคนนี้ยังไม่แน่ใจว่า เป็นนักท่องเที่ยวหรือเป็นผู้ที่อาศัยในเมืองไทยนานแล้วหรือไม่ และหากเป็นนักท่องเที่ยวจริง ก็จะมีระบบประกันภัยดูแลอยู่แล้ว
นายสันติ กล่าวอีกว่า ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว กระทรวงสาธารณสุข ตระหนักว่า การเดินทางของนักท่องเที่ยวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ดังนั้นในการประชุมวิชาการการแพทย์ฉุกเฉิน จึงมีการซักซ้อมความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย ทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ไว้ครบทั้ง 13 เขตสุขภาพ เพื่อดูแลนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังที่ต่าง ๆ โดยมีทีมแพทย์ฉุกเฉินรวม 20 หน่วย และในพื้นที่ฉุกเฉินมีอีก 7 หน่วยประจำพื้นที่
ด้าน ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง ร่วมกับ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) จะมีการดำเนินการ 2 ส่วน ได้แก่ สบส.นำข้อมูลเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการสถานพยาบาล
และส่วนของ สพฉ.จะเอาเข้าคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน (กพฉ.) ในสัปดาห์หน้า ภาพรวมหากพบว่า มีข้อที่ผิดจริง รพ.เอกชน จะถูกลงโทษปรับประมาณ 100,000 บาท ส่วนของ สบส.ขึ้นกับว่ากฎหมายจะกำหนดไว้อย่างไร ส่วนการอ้างว่าเต็มเตียง หรือ ขีดความสามารถของ รพ. ไม่พร้อม
ต้องยอมรับว่า ปัญหาระหว่างการรับส่งผู้ป่วย และปัญหาในโรงพยาบาลแตกต่างกัน การเข้าถึงพื้นที่กำหนดให้ ภายในเวลา 8 นาที ส่วนเรื่องอื่น ๆ ก็ต้องดูข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร ทรัพยากรของ รพ.เหมาะสมหรือไม่ หรือหากเกิดจากการปฏิเสธ ทาง รพ. อาจจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย
กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน ห้ามถามเรื่องสิทธิรักษาและการเงิน ว่า มีเงินหรือไม่ หรือไม่มี เพราะมีกลไกของภาครัฐคอยดูแลอยู่แล้ว
ร.อ.นพ.อัจฉริยะ กล่าวว่า ในช่วงไฮซีซันมีการเดินทางของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ทาง สพฉ. จึงประสานกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตำรวจท่องเที่ยว ร่วมกันดูแลนักท่องเที่ยวในทุกพื้นที่กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน ส่วนกรณีนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันก็มีการพูดคุยกับสถานทูตไต้หวันแล้วว่าไทยไม่ได้ละทิ้งนักท่องเที่ยว และไม่ได้ปล่อยให้ตกอยู่ในสภาพนี้