วันนี้ (15 ธ.ค.2566) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังกล่าวสถานการณ์การเมืองในปีหน้า ที่มีการวิเคราะห์ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีจากนายเศรษฐา ทวีสิน เป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะไม่เกิดนั้น ว่า
การปรับเปลี่ยนทิศทางน่าจะเหมาะสมมากกว่าการหาทางลง เพราะประเทศไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านี้ แต่ขอให้ปรับเปลี่ยนทิศทางมีเป้าหมายและมีความเป็นมืออาชีพ ก็จะทำให้สถานการณ์ต่างๆ ที่ดูแล้วเหมือนร้อนในปีหน้า ก็จะเบาบางลงได้และการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำในตอนนี้ควรให้โอกาสนายกรัฐมนตรีได้ทำงานก่อน ส่วนในอนาคตก็มีการประเมินสถานการณ์อยู่เรื่อยๆ แต่คงไม่เป็นสาระสำคัญในการแถลงวันนี้
นายพิธา ยังกล่าวถึงกรณีที่มีการประเมินว่านายเศรษฐา ไม่ใช่เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงนั้น ว่า เห็นตัวอย่างเรื่องที่นายกฯออกข้อสั่งการ ที่ไม่พอใจ ค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งหากเป็นตนก็จะไปดูสูตรการคำนวณ ซึ่งนอกจากจะสั่งงานว่าเอาเป้าหมายอย่างไรก็ต้องส่งคนเข้าไปดูว่ากระบวนการเกิดขึ้นอย่างไรก็จะไม่มีเซอร์ไพรส์ออกมาในหน้าข่าว หากมีการตามงานภายใน จึงอยากเสนอแนะนายกรัฐมนตรี ว่าไม่สามารถสั่งการลงไปแล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที เพราะการบริหารราชการแผ่นดินไม่เหมือนกับเอกชน ที่จะต้องมีกระบวนการในการบริหารงานและให้คนไปติดตามว่าสิ่งที่สั่งการนั้นเป็นไปได้ทางกฎหมายหรือไม่ ถ้าเป็นไปไม่ได้ก็จะต้องมีการปรับแก้อย่างไร
"พิธา" เมินพรรคประชาธิปัตย์ย้ายขั้ว
ขณะเดียวกันนายพิธาไม่ตอบคำถามว่ามั่นใจในพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ หลังเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรค ว่าจะยังคงเป็นฝ่ายค้านร่วมกันว่า "มั่นใจในตัวเราเรามั่นใจในตัวเรา"
ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหน พรรคก้าวไกลก็ยังเป็นพรรคอันดับ 1 ของประเทศอยู่ดี เป็นพรรคที่มี สส.มากที่สุดอยู่ดี มีประธานกรรมาธิการอยู่หลายคณะ ดังนั้นเราตั้งใจที่จะทำงานเพื่อประชาชนไม่ว่าจะผ่านกรรมาธิการผ่านสภาก็เชื่อว่าจะเป็นฝ่ายค้านเชิงรุกและทำงานอย่างสร้างสรรค์เพื่อสร้างความสุขให้กับพี่น้องประชาชน และเรามั่นใจในตัวของเราและมั่นใจในการทำงานของเราว่าก้าวไกลจะทำงานให้เป็นความหวังของพี่น้องประชาชนให้สมกับที่พี่น้องประชาชนให้มา
ส่วนที่มองกันว่า ฝ่ายค้านมัวแต่แก้ปัญหาภายในพรรคไม่ได้ทำงาน มีผลงานนั้นนายพิธา กล่าวว่า ในส่วนที่มีปัญหาก็ต้องแก้กันไปแต่สิ่งสำคัญ จะต้องทำงานตามที่สัญญาไว้กับประชาชน โดยเป็นฝ่ายค้านที่สร้างสรรค์ให้ใช่จ้องแต่จะล้มรัฐบาลเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ยอมรับ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ ว่า สส.หลายคนของพรรค เป็น สส.ส้มหล่นซึ่งก็จะพยายามพัฒนาบุคลากรของพรรคให้มีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่
พิธา เชื่อรอดปมหุ้น เมิน ปชป.ย้ายขั้ว ไม่รู้ ทักษิณ อยู่ชั้น 14
"พิธา" เชื่อแก้ระเบียบราชทัณฑ์ไม่เกี่ยวเอื้อ "ทักษิณ"
นายพิธา กล่าวถึง ระเบียบกรมราชทัณฑ์ใหม่อาจจะเกิดการเอื้อให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกส่งตัวออกมาคุมขังนอกเรือนจำหรือไม่ ว่าในภาพกว้างต้องลงในรายละเอียด ตนเข้าใจว่ากระบวนการความคิดแบบนี้มีตั้งแต่ปี 2563 และที่ฟังจากประธานกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องก็มีความคิดในเรื่องนี้ล่วงหน้า คงจะไม่มีใครรู้ว่านายทักษิณจะกลับมาเมื่อไหร่คงต้องให้ความยุติธรรมกัน
แต่มีข้อกังวลคือ สถานที่ที่จะนำมาคุมขังนอกเรือนจำ เป็นการตัดสินใจที่รวมศูนย์อยู่ที่คณะกรรมการ ผู้ต้องขังเองไม่สามารถร้องขอได้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือจะต้องอยู่ในพื้นที่ที่อนุญาตเช่นบ้าน โรงงาน รวมถึงสถานที่ราชการที่กำหนดไว้ จึงทำให้เกิดข้อกังวลว่าจะเอื้อให้กับผู้ที่มีฐานะในระดับหนึ่งในการเข้าถึงสิทธิ์ดังกล่าว
นายพิธากล่าวว่า ตนตั้งข้อสังเกต 3 ข้อคือ
1.มีแนวคิดระเบียบนี้คิดตั้งแต่ปี 2563 ตามที่สภาได้เสนอมาในปี 2560 หรือไม่
2.เรื่องของสถานที่ ที่ ผู้ต้องขังหรือครอบครัวไม่สามารถร้องขอได้ เนื่องจากเป็นดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ เกรงว่าจะมีการใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้อง
3.เป็นเรื่องของความเหลื่อมล้ำ ที่จะต้องมีระบบสถานที่เอื้ออำนวย ทำให้คนที่ออกมาได้ต้องเป็นคนที่มีฐานะในระดับหนึ่ง จึงเกรงว่าจะไม่มีความเท่าเทียมกัน ซึ่งตนไม่ด่วนสรุปว่าเป็นเรื่องของการใช้อภิสิทธิ์ แต่เป็น การตั้งข้อสังเกตจากข่าวไม่ใช่ความเห็นส่วนตัว
เมื่อถามว่านายทักษิณอยู่ชั้น 14 หรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ตนยังไม่ได้ตามข่าวเรื่องนี้
มั่นใจไม่ผิดถือครองหุ้นสื่อ ยันหลักฐานชัด
นายพิธา กล่าวถึงกรณีที่สัปดาห์หน้าศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคดี ถูกกล่าวหาถือครองหุ้นสื่อในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ว่า ได้เตรียมความพร้อมไว้แล้วโดยวันนี้จะดูรายละเอียดสุดท้ายในถ้อยแถลงที่เป็นลายลักษณ์อักษรและพร้อมที่จะขึ้นให้การไต่สวนพยานทั้งในเรื่องของหลักฐานที่เป็นหลักฐานส่วนตัว ในส่วนของผู้จัดการมรดกก็ดี และหลักฐานว่าไอทีวีไม่ได้เป็นสื่อต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะมองเรื่องของรายได้ เรื่องของไลน์เส้นที่ต้องขอในการทำสื่อจาก กสทช.
ซึ่งตรงนี้ กสทช.ตอบกลับมาชัดเจนว่าไม่มีไลน์เส้นทำสื่อของไอทีวี ดังนั้นตรงนี้ก็พร้อมที่จะขึ้นบัลลังก์ในการให้ปากคำในฝั่งของตนและมั่นใจ 100% ว่าจะไม่ผิด ทั้งนี้แนวเรื่องของการเป็นผู้จัดการมรดกมีหลักฐานที่ไม่เคยเปิดที่ไหนก็จะใช้ส่วนนี้จะอธิบายต่อสาธารณะ
ส่วนคดี นโยบายแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล ที่อาจเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น นายพิธา กล่าวว่าเอกสารก็เสร็จเรียบร้อยทั้ง 2 ส่วนแล้ว โดยจะตรวจสอบและยื่นให้ศาลในเร็ววันนี้ และพร้อมที่จะได้รับการตรวจสอบทั้งวันที่ 20 และ 25 ธ.ค. และซึ่งตนจะเดินทางไปศาลเพื่อฟังคำวินิจฉัย ด้วยตัวเอง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :