วันนี้ (16 มิ.ย.2566) นายนิพัฒน์ เนื้อนิ่ม อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวถึงปัญหาการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน ว่า เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2564 ที่ไทยพบการระบาดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ทำให้ปริมาณหมูลดลง จากความต้องการภายในประเทศ จำนวน 22 ล้านตัว ประเมินว่าหายไป 5 ล้านตัวต่อปี
เมื่อความต้องการสูง แต่ผลผลิตไม่เพียงพอ ทำให้ราคาสูงขึ้น นำไปสู่การลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนจากแหล่งผลิตในประเทศอื่น ๆ เช่น กลุ่มประเทศยุโรป สเปน บราซิล ซึ่งต้นทุนถูกกว่าไทย โดยทำส่วนต่างให้ได้ราคา 30-50 บาท ส่งผลให้มีการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนมากขึ้น
นายนิพัฒน์ กล่าวว่า เมื่อปริมาณเนื้อหมูมากขึ้น แต่ต้นทุนของผู้เลี้ยงสูงขึ้น จึงได้เข้าไปตรวจสอบที่ท่าเรือแหลมฉบัง 2-3 ครั้งในช่วงเดือน มิ.ย.นี้ เพราะมั่นใจว่าปัญหาการลักลอบนำเข้าเนื้อหมู ร้อยละ 90 มาจากท่าเรือ ซึ่งท่าเรือแจ้งว่าขณะนี้ได้ดำเนินมาตรการท่าเรือสีขาว เปิดตู้คอนเทนเนอร์ 200 กว่าตู้ พบเนื้อหมู 161 ตู้ น้ำหนัก 4,313,850 กิโลกรัม
อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เรียกร้องว่ากรณีพบสินค้าสำแดงเท็จ ยกตัวอย่างเนื้อหมูลักลอบนำเข้านั้น กรมศุลกากรต้องแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูในประเทศ เนื่องจากผู้บริโภคเกิดความกังวลเกี่ยวกับข่าวหมูเถื่อน อาจทำให้การบริโภคลดลง
ส่วนที่กรมศุลกากร ยืนยันว่าเนื้อหมูเถื่อนดังกล่าวไม่ได้เล็ดลอดออกไปนั้น ส่วนตัวไม่มั่นใจ และต้องการให้ทำลายหมูเถื่อนอย่างรวดเร็ว เพราะเชื่อว่าหมูที่ลักลอบนำเข้า ส่วนใหญ่เป็นหมูมีปัญหา คุณภาพไม่ดี อาจมีสารเร่งเนื้อแดงและโรคปนเปื้อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้กรมปศุสัตว์รับทราบดี
ตั้งคำถามว่ากรมศุลฯ และกรมปศุสัตว์ ต่างโยนกันไปมา แล้วปัญหาเมื่อไหร่จะจบ นั่นคือเกษตรกรถาม
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
กรมศุลกากร ส่งทำลาย "หมูเถื่อน" 159 ตู้ 4.3 ล้านกิโลกรัม
กรมศุลกากร ยันไม่ล่าช้า ทำลายเนื้อหมูเถื่อน 4,313 ตัน
ปศุสัตว์ ปัดเอี่ยว "ส่วยหมูเถื่อน" ยันปราบปรามยึดซาก 1 ล้าน กก.