ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

WHO จับตาโอมิครอน "XBB.2.3" ทั่วโลกพบแล้วกว่า 7,000 คน

สังคม
9 มิ.ย. 66
19:19
3,302
Logo Thai PBS
WHO จับตาโอมิครอน "XBB.2.3" ทั่วโลกพบแล้วกว่า 7,000 คน
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
กรมวิทย์ฯ เผยโอมิครอนลูกผสม XBB.2.3 ไม่แตกต่างจากโอมิครอนสายพันธุ์อื่น แม้จะหลบภูมิคุ้มกันได้ดี แต่ยังไม่มีข้อมูลความรุนแรง ย้ำ ATK และ PCR ตรวจได้ทุกสายพันธุ์

วันนี้ (9 มิ.ย.2566) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อัปเดทสถานการณ์การเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 และสายพันธุ์ที่เฝ้าติดตามในประเทศไทย โดย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับเครือข่ายห้องปฏิบัติการ ติดตามการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์เชื้อไวรัส SARS-CoV-2

นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 2565 พบสายพันธุ์โอมิครอน BA.1, BA.2, BA.4, BA.5 รวมถึงสายพันธุ์ย่อยอื่น ๆ ในตระกูล โดยโอมิครอนยังคงเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่กระจายในประเทศ และจากสถานการณ์กลายพันธุ์ภายในสายพันธุ์ของโอมิครอนที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดเป็นสายพันธุ์ย่อยหลากหลายกลุ่มในตระกูล

รวมถึงสายพันธุ์ลูกผสมปัจจุบันองค์การอนามัยโลกให้ความสำคัญกับการติดตามโอมิครอน จำนวน 9 สายพันธุ์ จากพื้นฐานของข้อมูลการเพิ่มความชุกหรือความได้เปรียบด้านอัตราการเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น ๆ และการกลายพันธุ์ในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการได้เปรียบในการก่อโรค ได้แก่

สายพันธุ์ที่เฝ้าระวัง หรือ Variants of Interest (VOI) 2 สายพันธุ์ ได้แก่ XBB.1.5* และ XBB.1.16* และสายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง หรือ Variants under monitoring (VUM) 7 สายพันธุ์ ได้แก่ BQ.1*, BA.2.75*, CH.1.1*, XBB*, XBB.1.9.1*, XBB.1.9.2* และ XBB.2.3*

สถานการณ์สายพันธุ์เชื้อ SARS-CoV-2 ทั่วโลก อ้างอิงจากฐานข้อมูลกลาง GISAID ในรอบสัปดาห์ 8 - 14 พ.ค.2566 พบสัดส่วนเพิ่มขึ้น-ลดลงจากรอบสัปดาห์ 10-16 เม.ย.2566 ดังนี้

  • XBB.1.5* รายงานจาก 115 ประเทศ คิดเป็นร้อยละ 34.04 ลดลงจากร้อยละ 49.07
  •  XBB.1.16* รายงานจาก 61 ประเทศ คิดเป็นร้อยละ 16.32 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.78
  • XBB*, XBB.1.9.1*, XBB.1.9.2* และ XBB.2.3 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
  • BA.2.75*, CH.1.1* และ BQ.1* มีแนวโน้มลดลง

ไทยพบสายพันธุ์ลูกผสมเพิ่ม พบ XBB.1.16* มากที่สุด

นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า สถานการณ์โดยรวมของประเทศไทยพบสายพันธุ์ลูกผสมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแทนที่สายพันธุ์ BN.1* ที่เคยเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในไทยตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2565 และพบในทุกเขตสุขภาพ

ข้อมูลจากฐานข้อมูลกลาง GISAID ตั้งแต่เริ่มพบสายพันธุ์ XBB.1.16 เมื่อเดือน เม.ย.2566 ปัจจุบัน XBB.1.16* เป็นสายพันธุ์ที่พบสัดส่วนมากที่สุด คิดเป็น 30.34 % รองลงมาคือสายพันธุ์ XBB.1.9* คิดเป็น 26.59% และสายพันธุ์ XBB.1.5* คิดเป็น 20.96%

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาระหว่างวันที่ 29 พ.ค. - 4 มิ.ย.2566 ผลการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด-19 จำนวน 185 คน พบเป็นสายพันธุ์ลูกผสม 169 คน คิดเป็น 91.35% โดยพบผู้ติดเชื้อกระจายทุกเขตสุขภาพ

สัดส่วนสายพันธุ์ที่ตรวจในสัปดาห์นี้สามอันดับแรก ได้แก่ สายพันธุ์ลูกผสม XBB.1.16* XBB.1.9.1* และ XBB.1.5* คิดเป็น 35.68%, 20.00 % และ 11.35% ตามลำดับ

WHO ติดตาม XBB.2.3* ไทยพบแล้ว 60 คน  

ส่วนสายพันธุ์ XBB.2.3* องค์การอนามัยโลกประกาศเป็นสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าติดตาม (VUMs) เพิ่มเติม เมื่อวันที่ 18 พ.ค.2566 เป็นสายพันธุ์ลูกผสมของโอมิครอน BA.2.10.1 และ BA.2.75 ที่กลายพันธุ์เพิ่มเติมบนโปรตีนหนาม S:T478K เหมือนกับสายพันธุ์เดลตา มีความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันได้ดี แต่ยังไม่มีหลักฐานที่แสดงถึงความได้เปรียบในการเติบโตแพร่ระบาด

พบรายงานจาก 54 ประเทศทั่วโลก จำนวน 7,664 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 6 มิ.ย.2566) สำหรับประเทศไทย พบแล้วจำนวน 60 คน รายงานครั้งแรกในช่วงเดือน มี.ค.2566 ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานแสดงว่าสายพันธุ์ดังกล่าว ส่งผลต่อความรุนแรงของโรค

ATK และ PCR ตรวจได้ทุกสายพันธุ์

นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า แม้สถานการณ์ปัจจุบันของประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ลูกผสมเป็นสายพันธุ์หลักกระจายทุกเขตสุขภาพ การตรวจวินิจฉัยโรคโควิด-19 ด้วยชุดทดสอบ ATK และการตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยวิธี Real-time PCR ยังสามารถใช้ตรวจการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ครอบคลุมทุกสายพันธุ์ ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์โอมิครอน และสายพันธุ์ลูกผสม

อย่างไรก็ตาม ขอประชาชนให้ความสำคัญในการดูแลตัวเอง เข้ารับการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเปราะบางหรือกลุ่มเสี่ยง 608 เพื่อป้องกันตนเองรวมถึงช่วยลดความรุนแรงของโรคหากได้รับเชื้อ ทั้งนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังคงเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ของเชื้อก่อโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรายที่มีอาการรุนแรง หรือเสียชีวิต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง