เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2566 นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้สรุปสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ระหว่างวันที่ 28 พ.ค. - 3 มิ.ย.2566 พบจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ที่รักษาในโรงพยาบาล มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากสัปดาห์ที่แล้ว เป็นจำนวน 3,085 คน (เฉลี่ย 440 คน/วัน)
จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ 386 คน ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 243 คน และพบผู้เสียชีวิตจำนวน 68 คน (เฉลี่ย 9 คน/วัน) ซึ่งเป็นกลุ่ม 608 มากถึง 66 คน (ร้อยละ 97) และพบว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนครบสองเข็ม (31 คน) เท่ากับร้อยละ 45.6 หรือไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น (22 คน) หรือได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น นานเกิน 3 เดือน (15 คน)
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือวัคซีนประจำปี ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการลดอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้
ขณะที่สถานการณ์การติดเชื้อในเด็กที่มีแนวโน้มสูงขึ้นด้วยว่า จากข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 20 พ.ค.2566 พบเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 1 ปี มีอัตราป่วยและติดเชื้อสูงสุด ซึ่งมากกว่าในทุกกลุ่มอายุ (1,581 คนต่อประชากรแสนคน) ตามมาด้วยผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป (647 คนต่อประชากรแสนคน) โดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรงหรือเสียชีวิต
สำหรับผู้ปกครองบางท่านที่อาจกังวลเรื่องผลข้างเคียงโดยเฉพาะเมื่อมีการเผยแพร่ข่าวบิดเบือน (ข่าวปลอม) ถึงอาการต่าง ๆ จากวัคซีน ทำให้ขาดความเชื่อมั่นไม่นำบุตรหลานมาฉีดวัคซีนนั้น กรมควบคุมโรค ยืนยันว่า จากการติดตามข้อมูลอาการไม่พึงประสงค์ในเด็กไทยที่ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปหลายล้านโดส พบว่าวัคซีนมีความปลอดภัยสูง
ในเด็กเล็กจะพบผลข้างเคียงน้อยกว่าเด็กโต เช่น อาการไข้ อ่อนเพลีย นาน 1-2 วัน แต่ทั้งหมดไม่มีอาการรุนแรงและไม่เป็นอันตราย ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากต่างประเทศที่ได้มีการติดตามอาการไม่พึงประสงค์ในเด็กที่ฉีดวัคซีนไปแล้วกว่าร้อยล้านโดส ก็พบว่าวัคซีนมีความปลอดภัยในระดับสูงเช่นกัน
ผู้ปกครองสามารถพาเด็กเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 พร้อมกันกับวัคซีนพื้นฐานตามช่วงอายุได้ในเวลาเดียวกันที่สถานพยาบาลทั่วประเทศ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการรับบริการวัคซีนของประชาชน ทุกหน่วยบริการสามารถเปิดฉีดวัคซีนได้เลย โดยไม่ต้องรอเด็กครบจำนวนโดสของวัคซีนแต่ละขวด
โควิดรุนแรงในเด็กอาจส่งผลต่อพัฒนาการ
ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า วัคซีนโควิด-19 มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้ไม่สมบูรณ์ คือประมาณ 60% ในช่วง 4 เดือนแรก
การฉีดเพื่อป้องกันสายพันธุ์กลายพันธุ์ ควรฉีดอย่างน้อย 3 เข็ม จากนั้นประสิทธิภาพในการป้องกันโรคจะลดลง แต่ยังสามารถป้องกันความรุนแรงได้ดียาวนาน คือ หากติดเชื้ออาการจะไม่หนัก และป้องกันการเสียชีวิตในประชากรได้จริง และวัคซีนยังช่วยลดการเกิดภาวะ Long COVID ซึ่งทำให้อ่อนเพลียหลังจากเป็นโควิด 19 ได้ด้วย
ที่สำคัญคือสามารถลดภาวะโรคมิสซี (MIS-C) ที่อาจรุนแรงในเด็กลงได้มากกว่า 90% และในช่วงที่มีการระบาดระลอกนี้ พบเด็กติดเชื้อค่อนข้างมาก ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ฉีดวัคซีนมาก่อน เด็กบางคนมีอาการหนักขึ้นเพราะติดเชื้อไวรัสตัวอื่นร่วมด้วย และเมื่อมีเด็ก ๆ เป็นมากขึ้นทำให้มีปัญหาของ Long COVID มากขึ้น
เป็นเหตุทำให้เด็กบางคนมีอาการต่อเนื่องเป็นเวลานาน เด็กบางคนมีอาการปวดหัว เหนื่อย อ่อนเพลีย มีปัญหาการนอนหลับ ส่งผลต่ออารมณ์ พัฒนาการ และการเรียน ซึ่งบางคนมีอาการอยู่หลายเดือน
ทั้งนี้ จึงขอแนะนำให้เด็กทุกคนควรเข้ารับวัคซีน โดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรง และแม้ว่าเด็กหลายคน จะเป็นโรคโควิด 19 แล้ว ก็ยังควรได้รับวัคซีน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันลูกผสม ที่จะป้องกันการเป็นซ้ำได้ยาวนาน