ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 3,000 ปีที่แล้ว เผ่าพันธุ์ของเราเพิ่งเริ่มที่จะคิดค้นการบันทึกเรื่องราวด้วยตัวอักษร การสร้างคูคลองสำหรับการเกษตรกรรม หรือแม้แต่การนำทองเหลืองกับดีบุกมาผสมกันกลายเป็น “สำริด” เพื่อสร้างเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ขึ้นมาใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่เรียกช่วงเวลาในอดีตนี้ว่า “ยุคสำริด”
โดยหลักฐานใหม่ล่าสุดที่นักโบราณคดีได้ค้นพบในถ้ำแห่งหนึ่งบนเกาะมินอร์กา (Minorca) ของประเทศสเปน นั้นได้ชี้ให้เห็นเพิ่มเติมว่ามนุษย์ในยุคสำริดยังได้คิดค้น “วิธีการเสพยาที่มีฤทธิ์หลอนประสาท” ขึ้นมา ควบคู่กับสิ่งประดิษฐ์อื่น ๆ ด้วย ซึ่งหลักฐานชิ้นนี้ก็คือ “เส้นผม” ของมนุษย์ยุคสำริดที่ถูกเก็บไว้ในกล่องไม้ไว้เป็นอย่างดี
และเมื่อนักโบราณคดีได้นำตัวอย่างเส้นผมมนุษย์นี้ไปตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว พวกเขาจึงพบว่ามีสารประเภทแอลคาลอยด์ปะปนอยู่ ซึ่งสารประเภทนี้มักถูกสกัดมาจากพืชเสพติดที่เราพบเจอได้ในปัจจุบัน อาทิ โคเคน จากต้นโคคา หรือ มอร์ฟีน จากดอกฝิ่น โดยนักโบราณคดีกลุ่มนี้สามารถตรวจหาความเชื่อมโยงของสารแอลคาลอยด์ที่อยู่บนเส้นผมมนุษย์ยุคสำริดได้ว่าอาจมีแหล่งกำเนิดมาจากต้นไม้ในตระกูลมาฮวง (อีเฟดรา) ซึ่งเป็นพื้นท้องถิ่นที่ได้เติบโตและกระจายตัวอยู่ทั่วเกาะมินอร์กา มาหลายพันปีแล้ว
ถึงกระนั้นการเสพยาหลอนประสาทของมนุษย์ยุคสำริดก็อาจไม่เหมือนกับการเสพยาของผู้คนในปัจจุบันที่เน้นไปที่การผ่อนคลายบันเทิงเริงใจเสียทีเดียว เนื่องจากการกระจายตัวของสารแอลคาลอยด์บนเส้นผมได้บอกใบ้ว่า ผู้คนที่เคยแวะเวียนมาถ้ำนี้ได้เสพยาหลอนประสาทเป็นเวลายาวนานหลายปี จนถึงเวลาก่อนที่เจ้าของเส้นผมจะเสียชีวิตได้ไม่นานด้วยซ้ำ
หากอ้างอิงจากหลักฐานอื่น ๆ ที่ค้นพบในถ้ำแห่งนี้ อย่างโครงกระดูกของมนุษย์ที่ถูกฝังอยู่มากกว่า 200 คน นักโบราณคดีก็กลับยิ่งค้นพบความแปลกประหลาดขึ้นไปอีก เนื่องจากโครงกระดูกพวกนี้มาจากหลายยุคหลายสมัยที่ห่างกันถึง 600 ปี แต่กลับไม่มีร่างของสตรีมีครรภ์และเด็ก ๆ เลย โดยกระดูกมนุษย์คนล่าสุดที่หลงเหลืออยู่เป็นชิ้นส่วนจากเมื่อ 1,200 ปีที่แล้วนี่เอง ไม่ได้มีอายุ 3,000 ปีเหมือนกับตัวอย่างเส้นผมที่ค้นพบสารเสพติดปะปนอยู่
Giorgio Samorini ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤกษศาสตร์และโบราณคดีได้แสดงความคิดเห็นต่อการค้นพบนี้ว่า มนุษย์ยุคโบราณมีแนวโน้มที่จะใช้ยาเสพติดในเชิงศาสนาเพื่อติดต่อกับสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ จึงอาจทำให้ถ้ำแห่งนี้กลายเป็นแหล่งที่มนุษย์ใช้ประกอบพิธีกรรมมาอย่างยาวนานก็ได้
ส่วนหนึ่งในหลักฐานสนับสนุนเรื่องพิธีกรรมทางศาสนานั้น ก็คงจะเป็นภาพวาดตกแต่งบนกล่องไม้ที่เป็นภาชนะบรรจุเส้นผม ซึ่งมีการค้นพบสารแอลคาลอยด์ตามที่กล่าวไปข้างต้น โดยภาพตกแต่งนี้มีลักษณะเป็นรูปดวงตาหลายสิบดวงขีดเขียนอยู่อย่างสุ่ม ๆ รอบ ๆ กล่องไม้ ที่เป็นภาพจำของสัตว์ประหลาดในจินตนาการจากฤทธิ์หลอนประสาทของยาเสพติด
สุดท้ายนี้ Ms.Guerra-Doce นักโบราณคดีผู้มีส่วนในการวิจัยก็ได้ตั้งสมมติฐานไว้ว่า มีความเป็นไปได้ว่าใครบางคนที่อาจเป็นหมอผีผู้เข้าใจเรื่องฤทธิ์ยาหลอนประสาทเป็นอย่างดีได้แนะนำให้คนมาใช้สารเสพติดในถ้ำนี้มากันรุ่นต่อรุ่น ซึ่งก็คงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษากันต่อไปในอนาคต
ที่มาข้อมูล: The New York Times
ที่มาภาพ: The Autonomous University of Barcelona
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech