วันนี้ (5 เม.ย.2566) นายศุภชัย ใจสมุทร กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (4 เม.ย.) พรรคภูมิใจไทย มอบอำนาจให้ตนเองยื่นคำฟ้องต่อศาลแพ่ง กรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กระทำละเมิดต่อพรรคภูมิใจไทย ในการแพร่ข่าว ไขข่าว ฝ่าฝืนต่อคความเป็นจริงทำให้พรรคเสียหาย เป็นการฟ้องละเมิดและเรียกค่าเสียหาย รวมทั้งยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว และไต่สวนฉุกเฉิน ห้ามมิให้นายชูวิทย์ ดำเนินการตามที่ถูกฟ้อง คือการกล่าวหาบิดเบือนกับพรรคภูมิใจไทย
เมื่อวานนี้ (4 เม.ย.) หลังจากคณะตุลาการพิจารณาแล้วเห็นว่า คำร้องเป็นการร้อง ห้ามมิให้พูด อาจจะเป็นการฟ้อง ซึ่งอาจจะเป็นผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งคำร้องไม่เป็นการเฉพาะเจาะจง เป็นการยื่นคำร้องทั่วไป จึงยกคำร้อง
แต่วันนี้ (5 เม.ย.) พรรคภูมิใจไทย ได้ไปยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ขอไต่สวนฉุกเฉินอีก และมีการไต่สวนจนเสร็จสิ้นเมื่อช่วงบ่าย ออกมาดังนี้
พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จําเลยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนหลายสาขา ทั้งทางวิทยุ โทรทัศน์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งใช้เครื่องกระจายเสียงประกาศข้อเท็จจริงต่าง ๆ ตามคําฟ้องในที่สาธารณะ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่า โจทก์มีนโยบายที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และสมาชิกของโจทก์ไม่เหมาะสมที่จะได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งข้อเท็จจริงตามที่จําเลยกล่าว หรือไขข่าวแพร่หลายต่อบุคคลทั่วไปนั้น ยังมิได้มีการพิสูจน์ว่าเป็นความจริงตามที่จําเลยกล่าวอ้างหรือไม่ จึงเป็นการกระทําซ้ำและกระทําต่อไป ซึ่งการที่โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าจําเลยกระทําละเมิด
เมื่อพิจารณาคําฟ้องของโจทก์ประกอบกับภาพและเสียงของจําเลยที่บันทึกไว้โดยแผ่นดีวีดีท้ายคําฟ้อง และวัตถุพยานหมาย วจ.1 แล้ว ได้ความว่าเมื่อวันที่ 4 เม.ย.2566 จําเลยกล่าวต่อบุคคลทั่วไป โดยมีข้อความว่า “ไม่เอาภูมิใจไทย ไม่เอาพรรคบ้ากัญชา” ประกอบกับจําเลยได้ใช้ป้ายแสดงข้อความว่า “พรรคขายกัญชา เยาวชนติดกัญชาเพราะ...” ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถเข้าใจได้ว่าหมายถึงโจทก์ แม้จําเลยจะมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมาย
แต่การกระทําดังกล่าวต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่นตามกฎหมาย เมื่อโจทก์ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 ซึ่งห้ามมิให้ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของโจทก์ หรือเสียหายแก่ทางทํามาหาได้ หรือทางเจริญของโจทก์ เห็นว่าฟ้องโจทก์มีมูล และมีเหตุผลเพียงพอที่จะนําวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษามาใช้บังคับ
สําหรับคําขอให้ศาลมีคําสั่งคุ้มครองชั่วคราวโดยห้ามมิให้จําเลยกระทําด้วยประการใด ๆ ในการรณรงค์ไม่ให้ประชาชนเลือกโจทก์ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น เห็นว่า การกระทําดังกล่าวมีกฎหมายบัญญัติห้ามไว้โดยเฉพาะแล้ว ตามมาตรา 73 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 โดยเป็นพระราชบัญญัติที่มีโทษทางอาญา ศาลไม่จําต้องมีคําสั่งคุ้มครองชั่วคราวอีก
ส่วนกรณีที่โจทก์ขอให้ศาลมีคําสั่งห้ามมิให้จําเลยกล่าว หรือแสดงการกระทําด้วยวิธีใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่เกี่ยวข้องกับโจทก์นั้น ตามพยานหลักฐานโจทก์ในชั้นไต่สวนไม่ปรากฏว่าภายหลังจากโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้แล้ว จําเลยได้กระทําซ้ำ หรือกระทําต่อไป โดยการกล่าวหรือแสดงการกระทําด้วยวิธีใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่เกี่ยวข้องกับโจทก์อีก จึงไม่จําต้องมีคําสั่งคุ้มครองชั่วคราวในส่วนนี้
จึงมีคําสั่งห้ามจําเลยกล่าว หรือแสดงการกระทําด้วยวิธีใด ๆ เฉพาะเรื่องกัญชาที่เกี่ยวข้องกับโจทก์ในระหว่างพิจารณาจนกว่าจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน เสียหายที่โจทก์อาจได้รับต่อไปเนื่องจากการกระทําของจําเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 254 (2) คําขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
นายศุภชัย ระบุว่า เจ้าหน้าที่ศาลได้นำหมายห้ามไปส่งให้นายชูวิทย์แล้ว