ฟุตบอลโลกนัดชิงชนะเลิศ อาร์เจนตินา อดีตเเชมป์โลก 2 สมัย พบ เเชมป์เก่า ฝรั่งเศส ช่วง 45 นาทีแรก ทัพ "ฟ้า-ขาว" ทำผลงานได้เหนือกว่าชัดเจน และได้ประตูออกนำก่อน เมื่อ อังเคล ดิ มาเรีย ถูก เดมเบเล ทำฟาวล์ในเขตโทษ และเป็น เมสซี ยิงเข้าไปไม่พลาดให้ อาร์เจนตินา ขึ้นนำ 1-0 ในนาที 22
จากนั้นนาทีที่ 36 อาร์เจนตินา ใช้เกมโต้กลับเร็ว เมื่อ เมสซี จ่ายบอลให้เพื่อนหลุดไปทางฝั่งขวา ก่อนจะส่งบอลข้ามฟากให้ ดิ มาเรีย ยิงให้ทีมออกนำห่างเป็น 2-0
หลังเสียลูกที่ 2 ฝรั่งเศส แก้ทีมทันทีด้วยการเปลี่ยน โคโล่ มู-อานี และ มาร์คัส ตูราม 2 กองหน้า ลงมาแทนที่ ชีรูด์ และ อุสมาน เดมเบเล
หลังจากนั้นยังเป็น อาร์เจนตินา ที่ทำผลงานได้ดีกว่า เเต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในนาที 80 เมื่อ มูอานี ตัวสำรองของฝรั่งเศส ถูกกระแทกล้มในเขตโทษ และเป็น เอ็มบัปเป้ ยิงให้ ฝรั่งเศส ไล่มาเป็น 1-2
ถัดมาเพียงเเค่นาทีเดียว เอ็มบัปเป้ คนเดิมเมื่อได้บอลโด่งจาก ตูราม ก่อนตวัดยิงจังหวะเดียวแบบไม่จับช่วยให้ ฝรั่งเศส ตามตีเสมอเป็น 2-2 ได้อย่างเหลือเชื่อ ครบ 90 นาทีเสมอกัน 2-2 ต้องเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที
และ อาร์เจนตินา เป็นฝ่ายที่ได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งในนาทีที่ 109 เมื่อ เลาตาโร่ มาร์ติเนซ ยิงไปติดเซฟ ยอริส แต่บอลไปเข้าทาง เมสซี ยิงซ้ำหน้าปากประตู แม้จะถูกกองหลังฝรั่งเศสสกัดบอลทิ้งออกมา แต่ผู้ตัดสินชี้ว่าบอลข้ามเส้นประตูไปแล้ว อาร์เจนติน่า ขึ้นนำ 3-2
แต่ดราม่ายังไม่จบ เมื่อก่อนหมดเวลา 3 นาที ลูกยิงของ เอ็มบัปเป้ ไปถูกแขน มอนติเอล ในเขตโทษ ซึ่ง เอ็มบัปเป้ ยิงเข้าไปไม่พลาด ทำแฮตทริก พร้อมคว้าตำแหน่งดาวซัลโว จำนวน 8 ประตู และช่วยให้ ฝรั่งเศส ตีเสมออีกครั้งเป็น 3-3 ทำให้เกม 120 นาทีก็ยังไม่มีผู้ชนะ ต้องดวลจุดโทษตัดสิน
คิงส์ลีย์ โคม็อง คนที่ 2 ของฝรั่งเศส ยิงไปติดเซฟ มาร์ติเนซ ตามด้วย ชูอาเมนี เพื่อนร่วมทีมคนต่อมา ยิงจุดโทษหลุดออกไป ขณะที่ อาร์เจนติน่า ทำหน้าที่ไม่พลาดทั้ง 4 คน ทำให้ อาร์เจนตินา ชนะไปในช่วงดวลจุดโทษด้วยสกอร์ 4-2 คว้าแชมป์โลกมาครองเป็นสมัยที่ 3 ต่อจากปี 1978 และ 1986
ส่วน ลิโอเนล เมสซี ปิดฉากการเล่นทีมชาตินัดสุดท้ายแบบสวยงาม พาทีมบรรลุเป้าหมาย ล้างความผิดหวังจากการแพ้ให้กับ เยอรมนี ช่วงต่อเวลาพิเศษ ในนัดชิงปี 2014 โดย เมสซี ทำไป 8 ประตูในปีนี้ จบอันดับ 2 ในตำแหน่งดาวซัลโว เเละทำได้ 13 ลูกในการลงเล่นบอลโลก 5 สมัย