รัฐสภาสหรัฐฯ เปิดการไต่สวนเกี่ยวกับการพบเห็นวัตถุบินที่ไม่สามารถระบุได้ หรือ ยูเอฟโอ โดยข้อมูลจากการไต่สวนสาธารณะครั้งนี้ถือเป็นบันไดก้าวสำคัญในการทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้
การพบเห็นวัตถุบินลึกลับ หรือ ยูเอฟโอ มักถูกสังคมมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระหรือทฤษฎีสมคบคิดตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ประเด็นนี้กลับมาได้รับความสนใจจากประชาชนมากขึ้นหลังจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เผยภาพวัตถุปริศนาเหนือท้องฟ้า
กล้องจากเครื่องบินขับไล่ประจำกองทัพเรือสหรัฐฯ บันทึกภาพวัตถุปริศนาบินอยู่เหนือมหาสมุทรแปซิฟิกใกล้กับเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อเดือน พ.ย. ปี 2004 หรือเมื่อ 18 ปีที่แล้ว
นักบินเครื่องบินขับไล่ เปิดเผยว่า วัตถุลึกลับดังกล่าวเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงและสามารถเปลี่ยนทิศทางได้อย่างรวดเร็ว เหตุการณ์นี้ถูกนำไปอ้างถึงในรายงานการพบเห็นปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ของหน่วยงานข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ เมื่อเดือน มิ.ย. ปี 2021
รายงานฉบับนี้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์ลึกลับมากถึง 144 กรณี ตั้งแต่ปี 2004 จนถึงปี 2021 เกือบทั้งหมดยังไม่มีข้อมูลมากพอจะอธิบายได้ว่าปรากฎการณ์เหล่านี้เกิดจากธรรมชาติหรือเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยกันแน่
ขณะที่สหรัฐฯ จะเดินหน้าศึกษาวัตถุลึกลับเหล่านี้ต่อไป เพราะอาจกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติและความปลอดภัยในการบิน
การเปิดเผยรายงานการพบเห็นปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้นำมาสู่การไต่สวนสาธารณะเพื่อให้ประชาชนได้รับฟังจากปากของเจ้าหน้าที่ข่าวกรองโดยตรง
สกอตต์ เบรย์ รองผู้อำนวยการฝ่ายข่าวกรองกองทัพเรือ ขึ้นให้การต่อประธานคณะอนุกรรมาธิการข่าวกรองและแสดงคลิปวิดีโอที่บันทึกไว้ได้โดยนักบินกองทัพเรือ เมื่อปี 2021
คลิปวิดีโอดังกล่าวบันทึกภาพวัตถุลึกลับทรงกลมสะท้อนแสงได้ บินผ่านหน้าต่างห้องนักบินไปภายในเวลาอันรวดเร็ว แต่จนถึงขนาดนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าคืออะไร โดย เบรย์ ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา มีผู้พบเห็นวัตถุลึกลับในลักษณะนี้เพิ่มมากขึ้นกว่า 400 กรณี
ขณะที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ไม่พบหลักฐานบ่งชี้ว่าปรากฏการณ์ลึกลับมีต้นกำเนิดมาจากนอกโลก
สิ่งที่น่าสนใจคือนักวิเคราะห์ด้านกลาโหมและข่าวกรองยังไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ในประเด็นดังกล่าวออกไปเสียทีเดียว
แม้ว่าคำตอบที่ได้จากการไต่สวนสาธารณะครั้งแรกในรอบมากกว่า 50 ปี ของรัฐสภาสหรัฐฯ จะยังไม่มีความชัดเจนมากพอ แต่การไต่สวนครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังจากกองทัพสหรัฐฯ ปฏิเสธความเชื่อเรื่องยูเอฟโอตั้งแต่ทศววรษที่ 1940