วันนี้ (26 ส.ค.2563) ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อาคารเทเวศร์ นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน เปิดเผยภายหลังการติดตามความคืบหน้า กรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอสที่ขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555 ว่า วันนี้ได้หารือกันเพื่อทำรายงานเสนอให้นายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 3 โดยจะทำโครงสร้างและรวบรวม เพื่อนำไปสู่การทำรายงานฉบับใหญ่ เพราะครบกำหนด 30 วัน โดยจะดำเนินการยื่นในวันที่ 31 ส.ค.นี้
บางประเด็นอาจจะยังไม่สมบูรณ์ เพราะเวลา 30 วัน ที่ทำหน้าที่มาถือว่าน้อยมาก ทำงานกันทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้หยุด และถือว่าเป็นภาระอันหนักหนามาก เพราะต้องมารับฟังเรื่องหนักๆ ทั้งนั้น
และถึงที่สุด ถือว่าเราได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการเสนอนายกรัฐมนตรีในประเด็นต่างๆ ที่สำคัญ ทั้งการทำสำนวนคดีตั้งแต่แรกว่า มีข้อบกพร่องอะไร และขั้นตอนของอัยการก็ใช้เวลานาน เนื่องจากมีการร้องขอความเป็นธรรมหลายครั้ง
สิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งคือ เราได้ขอความเห็นจากอดีตอัยการสูงสุดถึง 4 คน เพื่อให้ช่วยดูว่า กรณีที่เกิดขึ้นนี้เป็นกรณีที่ขาดตกบกพร่องหรือไม่อย่างไร และควรจะปรับปรุงอะไรมาก ทั้งหมดก็ถือเป็นประโยชน์มาก
ทั้งนี้จะนำไปสู่การประกอบความเห็น เพื่อให้แน่ใจว่าจุดบอด จุดบกพร่องของเรื่องนี้อยู่ตรงไหน ทั้งนี้ยังเหลือเวลาอีก 5 วัน ที่เราจะต้องสรุปภาพรวมทั้งหมด เพื่อดูว่ามีประเด็นใดบ้างต้องแก้ไข
แต่ยังไม่ได้ลงรายละเอียดถึงการปฏิรูปกฎหมาย เพราะทราบว่า ท่านจะให้ต่อเวลาอีก 30 วัน แต่ก็สุดแล้วแต่นายกรัฐมนตรีจะตัดสินใจ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากมีร่างกฎหมายรอผ่านการพิจารณาในสภาอยู่ คือ ร่าง พ.ร.บ.สอบสวนคดีอาญา
“สำหรับการจัดทำข้อสรุปเรื่องนี้ เมื่อเราส่งให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ หากท่านนายกรัฐมนตรีเห็นสมควรให้เผยแพร่หรือไม่ ผมคงไปเที่ยวเผยแพร่เองไม่ได้ และขึ้นอยู่กับท่านนายกรัฐมนตรีจะพิจารณา ผมคงไม่ทำอะไรล่วงละเมิดอำนาจท่านนายกรัฐมนตรี” นายวิชา กล่าว
นายวิชากล่าวด้วยว่า ในการจัดทำข้อสรุปคดีนี้ เราเพียงแต่ทำให้เห็นภาพว่าข้อบกพร่องขององค์กรเป็นอย่างไร ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นด้วยกับรายงานของเราที่บอกว่า
การเป็นผู้บังคับบัญชา หรือผู้นำสูงสุดขององค์กรต้องรับผิดชอบ จะไปสั่งการแล้วบอกว่า ไม่ติดตามไม่ดูแลไม่ได้ แต่จะต้องลงลึกถึงตรงนั้น ส่วนจะรับผิดชอบแค่ไหนเพียงไรต้องไปดูรายละเอียด เพราะเราพูดกันมากว่า ถึงไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดระเบียบ ก็อาจจะผิดจริยธรรม ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ก็บอกว่าหากผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงก็จะถูกดำเนินการเหมือนกัน
เมื่อถามว่า กรณีบุคคลที่เข้าข่ายจริยธรรมมีกี่คน นายวิชากล่าวว่า ยังแตกรายละเอียดอย่างนั้นไม่ได้
มันรู้อยู่แก่ใจของเราว่า มีใครบ้างที่ควรจะต้องรับผิดชอบอย่างไร ถึงขนาดไหน
ตรงนี้คือสิ่งที่การตรวจสอบจะต้องทำให้ปรากฏ อันนี้หนีไม่พ้น แต่เราไม่ได้บอกว่าเขาผิดอย่างโน้นอย่างนี้ แต่เราจะบอกว่า การกระทำของเขา มันส่อหรือมันแสดงเห็นพฤติกรรมได้ว่า มันเป็นเช่นนั้น สมควรที่จะดำเนินการให้หน่วยงานใดที่จะตรวจสอบต่อไป เพราะจะต้องไปตรวจสอบในเชิงลึก
เมื่อถามว่า ในรายงานที่จะส่งถึงนายกรัฐมนตรี จะระบุชื่อบุคคลชัดเจนหรือไม่ นายวิชาตอบว่า มีทั้งบุคคล มีทั้งคนที่เกี่ยวข้อง
เมื่อถามอีกว่า เท่าที่ดูข้อเท็จจริงคดีนี้บุคคลที่เข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรงเป็นฝ่ายอัยการหรือตำรวจ นายวิชา ตอบว่า “อย่าเพิ่งพูดตอนนี้เลย เพราะเรายังไม่ได้ลงมติกันเรื่องนี้”
นายวิชากล่าวถึงหลังจากคณะกรรมการตรวจสอบตำรวจเชิญ พล.ต.ต.วรวัฒน์ อมรวิวัฒน์ ผบก.กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาชี้แจงเรื่องการถอนหมายแดงจากตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) ว่า ทางด้านต่างประเทศ แสดงให้เห็นเลยว่า พอเขาแจ้งมาว่าให้ถอนหมายจับ ท่านก็ได้ติดต่อ เพื่อขอให้ถอนหมายแดงจากอินเตอร์โพล
ปัจจุบันนี้ ไม่มีหมายแดงแล้ว มีแต่หมายจับของไทย แต่ไม่ได้ดำเนินการในด้านต่างประเทศ แต่ตนเชื่อว่า ต่อไปทางตำรวจที่จะดำเนินการออกหมายจับใหม่ คงจะประสานทางอินเตอร์โพลในการขอออกหมายแดงอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อถามว่า สรุปแล้วใครสั่งให้ถอนหมายแดง นายวิชาตอบว่า เขาอ้างว่าเป็นไปตามวิธีปฏิบัติ เมื่อได้รับแจ้งมาว่า อัยการสั่งไม่ฟ้อง แล้วก็ขอถอนหมายจับ ขณะนั้น ยังไม่ได้มีการยืนยันโดยอธิบดีอัยการศาลอาญากรุงเทพใต้ เกี่ยวกับเรื่องหมายจับ
เมื่อถามว่า แสดงว่ากระบวนการถอนหมายแดงเกิดขึ้นโดยที่ยังไม่รู้ว่าหมายจับยังไม่ได้ถอนใช่หรือไม่ นายวิชาตอบว่า “ใช่ กลายเป็นว่า เขาเชื่อตามที่ฝ่ายตำรวจ ฝ่ายพนักงานสอบสวนแจ้งมาว่า อัยการสั่งไม่ฟ้องแล้ว”
เมื่อถามต่อไปว่ากระบวนการออกหมายจับครั้งใหม่ของนายวรยุทธ เป็นผลพวงมาจากคณะกรรมการฯชุดนี้ใช่หรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า ก็ใช่ เป็นส่วนหนึ่งที่เราได้แจ้งกับ พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผบตร ว่ามีข้อบกพร่องตรงไหนบ้าง
ส่วนการเชิญ พ.ต.อ.รณชัย รอดลอย ผกก.สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ มาชี้แจงเรื่องการเสียชีวิตของนายจารุชาติ มาดทอง พยานคนสำคัญในคดีนี้
นายวิชากล่าวว่าทราบว่า มีการแยกคดีออกเป็น 2 กรณี คือ 1.กรณีอุบัติเหตุ ที่เขาไม่พบสิ่งผิดปกติ 2.กรณีพบสิ่งผิดปกติจากพฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง กับเพื่อนหรือคนรอบข้าง นายจารุชาติ ที่มาจากเรื่องของโทรศัพท์มือถือ ที่ได้ความว่าถูกทำลาย ที่ยังเป็นข้อสงสัยอยู่ว่าถูกทำลายได้อย่างไร และอยู่ระหว่างการสอบรายละเอียดรวมถึงสอบเส้นทางการเงินด้วย
ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าในการประสานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินบุคคลที่เกี่ยวข้อง นายวิชากล่าวว่า เราประสานไปเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการระหว่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ ปปง.
ป.ป.ช.จะเป็นองค์กรหลักในการดำเนินการที่จะต้องแจ้งให้ ปปง.รับทราบ เนื่องจากว่า จะมีผู้ร้องเรียนในเรื่องการทุจริตด้วย และจะประสานไปที่ ปปง. เพื่อดำเนินการต่อไป
เมื่อถามย้ำว่า คณะกรรมการฯ จะเป็นคนยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.หรือไม่ นายวิชากล่าวว่า “ไม่ๆ มีคนร้องเรียนไปล่วงหน้า มันมีสำนวนของมันอยู่”