ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2012...ผลต่อการค้าและเศรษฐกิจไทย
นโยบายด้านเศรษฐกิจและต่างประเทศยังคงเป็นตัวชี้ชะตาผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 นี้ ระหว่างประธานาธิบดีคนปัจจุบัน นายบารัก โอบามา ตัวแทนจาก “พรรคเดโมแครต” ผู้มีแนวคิดจาก “สายพิราบ” และนายมิตต์ รอมนีย์ ตัวแทนจาก “พรรครีพับลิกัน” ผู้มีจุดยืนจาก “สายเหยี่ยว” ทุนนิยมเสรีสุดขั้วและแข็งกร้าว โดยผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมีคะแนนที่ค่อนข้างสูสีมากในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดี 2012
ผลการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ ในครั้งนี้ อาจไม่ใช่เป็นเพียงตัวแปรเดียวที่จะเป็นตัวชี้ชะตาแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งมีนัยต่อเศรษฐกิจโลกในปีหน้า เนื่องจากการประคองทิศทางเศรษฐกิจที่ใหญ่อันดับ 1 ของโลกให้ผ่านพ้นบททดสอบความเสี่ยงต่อภาวะแรงฉุดครั้งใหญ่ทางการคลัง (Fiscal Cliff) ที่รออยู่ในช่วงรอยต่อสิ้นปี 2555-ต้นปี 2556 นั้น น่าจะเป็นโจทย์ที่ท้าทายและบ่งบอกถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่าสำหรับว่าที่ผู้นำคนใหม่แห่งทำเนียบขาวที่จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2556
ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่รอประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งครั้งที่ 57 มาเป็นผู้ชี้ชะตา (ซึ่งอาจเป็นสมัยที่ 2 ของนายบารัก โอบามา หรือ สมัยแรกของนายมิตต์ รอมนีย์) นับเป็นตัวแปรสำคัญที่จะมีผลต่อทิศทางตลาดเงิน-ตลาดทุนโลก รวมถึงเศรษฐกิจไทย (อ่านรายละเอียดบทวิเคราะห์ ในไฟล์ Word)