แล้วที่ประชุมรัฐสภา มีมติเสียงข้างมาก 304 ต่อ 150 เสียง งดออกเสียง 124 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง เห็นชอบส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ภายหลังการอภิปรายที่เข้มข้น และสะท้อนจุดยืนที่แตกต่างกันชัดเจน
ฝ่ายหนึ่งคือรัฐบาล นำโดยพรรคเพื่อไทย รวมทั้งภูมิใจไทย พรรคกล้าธรรม และพรรคอื่น ๆ ลงมติเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือเห็นชอบ รวมทั้งประชาธิปัตย์ ยกเว้นผู้อาวุโสอย่าง นายชวน หลีกภัย และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ที่งดออกเสียง
โดยมือเก๋าอย่าง นายสุทิน คลังแสง อดีตประธานวิปฝ่ายค้าน สมัยพรรคเพื่อไทย เป็นฝ่ายค้าน สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร่ายยาวอีกรอบ
แม้จะไม่ได้พูดว่าไปทางตรงไม่ได้ ก็ต้องไปทางโค้ง หาไม่แล้วจะตกเหวเหมือนครั้งก่อน แต่เนื้อหาใกล้เคียงกัน คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาถึงทางแยก 2 ทาง จะเดินหน้าต่อให้จบวาระ 3 หรือจะไม่เดินหน้า แต่เปลี่ยนไปยื่นตีความก่อน
สำหรับตนเห็นว่า หากเดินหน้าต่อคะแนนจะไม่ถึง ญัตติต้องตกแน่นอน เรื่องนี้ต้องชาญฉลาด มีกลยุทธ์ เมื่อลมเปลี่ยนทิศต้องเปลี่ยนหัวเรือเพื่อหลบลม ไม่ให้เรืออับปาง ทั้งเตือนอย่าเป็นไก่หลงตีตัวเอง จะแพ้หมด
ส่วนพรรคฝ่ายค้าน แม้พรรคประชาชนจะไม่แตกแถว แต่พรรคอื่น ๆ เสียงแตกชัดเจน สะท้อนแนวโน้มเรื่อง สส.งูเห่าที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เพิ่งพูดเอาไว้ว่าจะมีถึง 10 ตัว ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แม้จะแสดงตนลงมติแค่ 2 คน แต่ไม่มีใครออกเสียงคัดค้าน ส่วน สส.พรรคไทยสร้างไทย ที่ตัวยังอยู่กับพรรคแต่ใจไปอยู่พรรคอื่นแล้ว โหวตเห็นชอบทั้ง 3 คน
ขณะที่ผลโหวต สว.ครั้งนี้ สะท้อนปัญหาขาดเอกภาพชัดเจน หลังเกิดกรณีกลุ่ม สว.สำรองเคลื่อนไหวหนุนดีเอสไอเข้ามาทำคดีฮั้วเลือก สว. ท่ามกลางกระแสกลยุทธ์บีบ สว.ให้เปลี่ยนสีเสื้อ
แม้เสียงส่วนใหญ่ที่ถูกมองว่า มีสายสัมพันธ์กับค่ายใหญ่สีน้ำเงิน จะงดออกเสียงด้วยจำนวน 120 เสียง แถมได้เสียง สว.กลุ่มพันธุ์ใหม่บางคนมาร่วมงดออกเสียงด้วย แต่ถือว่าน้อยลง เพราะมีถึง 32 เสียง ที่โหวตเห็นชอบด้วยตามเสียงสส.รัฐบาล โดยกลุ่ม สว.พันธุ์ใหม่ ยังคงจุดยืนเดิม โหวตค้าน 12 เสียง
ขั้นตอนต่อไปรัฐสภาจะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญรอบที่สาม สำหรับปมการปลดล็อคเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องทำประชามติก่อนหรือไม่ ผลจากความเห็นต่างกัน ระหว่างฝ่ายหนุนให้ยื่นศาลรธน.ตีความก่อน กับฝ่ายที่ให้เดินหน้าต่อ ไม่ต้องส่งตีความพร่ำเพรื่อแทบทุกเรื่อง
ดังที่ รศ.นันทนา นันทวโรภาส อภิปรายตั้งข้อสังเกตไว้ โดยฝ่ายแรก คือรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ สว.บางส่วน อ้างว่าหากรัฐสภาพิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญไปก่อน โดยยังไม่ได้ทำประชามติครั้งแรก ก่อนเสนอแก้รัฐธรรมนูญ อาจขัดกับคำวินิจฉัยที่ 4/2564 ของศาลรัฐธรรมนูญ
แม้ฝ่ายรัฐบาล จะยกเหตุผลยอมเสียเวลา 1 เดือน เพื่อให้มีความชัดเจนเรื่องนี้ ด้วยเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยได้ภายในกรอบเวลาดังกล่าว แต่ในทางปฏิบัติ ไม่มีใครรับประกันได้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยเพิ่มเติมจากคำวินิจฉัยเดิม ปี 2564
เช่นเดียวกับ ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า หากศาลรัฐธรรมนูญโยนกลับไปที่รัฐสภาอีก จะเดินหน้าต่อกันอย่างไร จะเอาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 ที่ถูกแช่แข็งอยู่มาเดินหน้าต่อสู่วาระ 3 หรือไม่
แต่ท่าทีและผลโหวตที่ออกมามีความน่าสนใจไม่น้อย ที่พรรคเพื่อไทย สามารถล็อคเสียงพรรคร่วมรัฐบาลได้ทั้งหมด รวมทั้งพรรคภูมิใจไทย ให้กลับมามีความเห็นสนับสนุนการส่งเรื่องต่อไปศาลรัฐธรรมนูญได้ ต่างจากก่อนหน้านี้ หลายครั้งหลายเรื่อง ไม่ลงรอยหรือเห็นตรงกันกับพรรคเพื่อไทยนัก กระทั่งมีประเด็นไทยจะต่อสัญญาโมโตจีพี หรือแข่งจักรยานยนต์ทางเรียบหรือไม่ และตามด้วยการโปรโมท 4 คนใหญ่เจอกันที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ความเห็นขัดแย้งดูจะคลี่คลายลง
แถมยังมีนัดหมายดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลรอบใหม่ ตามมาติด ๆ ในวันที่ 21 มีนาคม ก่อนถึงศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่นายกฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นผู้นัดหมายเอง เพื่อซักซ้อมและตรวจความพร้อมของพรรคร่วม
แต่การพบปะเจรจาของ 4 บิ๊กจะครอบคลุมไปถึงความร่วมมือแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงและแถลงต่อรัฐสภาไว้ จนสำเร็จหรือไม่ ยังต้องลุ้นต้องติดตามกันต่อไป ท่ามกลางกระแสข่าววงใน ได้ “ข้อยุติ” เพียงบางเรื่องเท่านั้น
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : ลูกจ้างชั่วคราว สพฐ.บุก ศธ.ร้องถูกตัดสิทธิประกันสังคม
ตร.เตรียมขอศาลอนุมัติหมายจับชาวต่างชาติทำร้ายหมอฟัน
"สุชาติ" ฟ้อง "รักชนก-สหัสวัต" เรียก 50 ล้าน หมิ่นฯ ปมตึก 7 พันล้าน