วันนี้ (4 มี.ค.2568) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่าง สอบปากคำผู้ต้องหาในขบวนการคอลเซนเตอร์ ที่ทางการกัมพูชาส่งมอบตัวให้ทั้ง 93 คน จากหมายจับทั้งหมด 102 หมายจับ
ในจำนวนนี้พบว่า มีหมายจับของผู้ต้องหาระดับปฏิบัติการ ชาวจีน 2 หมาย แต่ทั้ง 2 คน ได้หลบหนีไปแล้ว ส่วนอีก 100 หมายจับ ที่เหลือพบเป็นผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้ 7 คน
เบื้องต้นตำรวจได้ส่งตัวทั้ง 7 คน ไปดำเนินคดีคงค้างตามหมายจับยังสถานีตำรวจท้องที่ ก่อนจะนำตัวกลับมาดำเนินคดีเพิ่มเติมอีกครั้ง
สำหรับช่วงเช้า จะมีการสอบปากคำกลุ่มผู้ต้องหาหญิง 48 คน ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ที่ บช.สอท.ก่อน ส่วนผู้ชายอีก 45 คน ถูกแยกไปคุมตัวไว้ที่สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี สภ.เมืองนนทบุรี และสน.ทุ่งสองห้อง
ทั้งนี้จะมีการทยอยนำทั้งหมดมาสอบปากคำที่ บช.สอท.ตลอดทั้งวัน จนกว่าจะมีการคุมตัวส่งฝากขังศาลอาญารัชดา ในวันที่ 5 มี.ค.2568 ช่วงบ่าย พร้อมแจ้ง 4 ข้อหา เบื้องต้นคือ มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, เป็นอั้งยี่ซ่องโจร, ร่วมกันนำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และหากบุคคลใดกระทำความผิดอื่นเพิ่มเติมก็จะดำเนินคดีแบบรายคดี
โดยจาก 119 คน ที่ทางการกัมพูชาส่งตัวกลับมาที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 มี.ค.นั้น พบมีผู้ที่ไม่ถูกออกหมายจับ 19 คน แยกเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี 4 คน ซึ่งจากการสอบสวนน่าจะมี 2 คนที่เข้าข่ายความผิดการมีส่วนร่วมกันเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
ส่วนอีก 15 คน จากพยานหลักฐานเบื้องต้น ยังไม่พบว่าเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงในขบวนการคอลเซนเตอร์ เพราะถูกจับกุมอีกตึก แต่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันในประเทศกัมพูชา
ซึ่งในการออกหมายจับครั้งนี้มีพยานหลักฐานหลายส่วน ทั้งข้อมูลการสืบสวนจากระบบไทยโปลิสออนไลน์ ที่มีผู้เสียหายคนไทยมาแจ้งความ 46 เคสไอดี มูลค่าความเสียหายหลายสิบล้านบาท
ข้อมูลการสืบสวนของตำรวจภูธรภาค 2 รวมถึงข้อมูลการสืบสวนของทางการประเทศกัมพูชา และข้อมูลจากการซักถามผู้ต้องหาในเบื้องต้น ซึ่งบางคนให้ความร่วมมือสมัครใจที่จะให้การอย่างเป็นประโยชน์ และทั้งหมดพบว่าเป็นพนักงานระดับปฏิบัติงานในจำนวนนี้มีล่ามอยู่ 1 คน
จากการสอบถามเบื้องต้น พบพฤติกรรมขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่ต้องการไปหาทำงานที่ประเทศกัมพูชา บางคนโพสต์ในโซเชียลว่าต้องการหางานสายเทาโดยเฉพาะ และพบการเข้าออกประเทศหลายสิบครั้งต่อคน
จากการซักถามพบว่า กลุ่มคนเหล่านี้ จะทำงานอยู่ภายในบริเวณที่เรียกกันว่าพลูตาสวน ซึ่งเป็นอาคารหลังเดียว แต่ภายในอาคารจะแบ่งเป็นห้องย่อย มีมากกว่า 20 ห้อง ซึ่งแต่ละห้องจะถูกเรียกว่าออฟฟิศ และจะใช้ทำการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ
โดยมีผู้ต้องหาบางคนรับสารภาพว่า จะทำงานหลอกลวงเป็นเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลาง เพื่อไปหลอกเอาเงินบำนาญคนที่เกษียณอายุราชการแล้ว และยังมีการหลอกลวงเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า อ้างกับผู้เสียหายว่า จะได้รับเงินคืนหรือส่วนลดค่าไฟฟ้า โดยหลอกให้เหยื่อติดตั้งแอปพลิเคชันดูดเงิน หรือควบคุมโทรศัพท์ผ่านทางลิงค์
ซึ่งผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะพบว่าในวันที่เข้าไปจับกุมมีผู้ต้องหาที่หลบหนีไปจำนวนกว่า 1,000 คน โดยมีทั้งคนไทย อินเดีย และอินโดนีเซีย
จากการสอบปากคำผู้ต้องหา ให้การว่า ตึกที่ตำรวจบุกเข้าจับกุมมีชาวจีนประมาณ 20 คน โดยจะทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน เข้ามาดูงานและสั่งการผ่านล่าม ส่วนจะเกี่ยวข้องกลุ่มทุนจีนสีเทาในไทยหรือไม่นั้นต้องรอดูผลการสืบสวนสอบสวนอีกครั้ง
อ่านข่าว :
ขยายผลเส้นทางเงิน "หมอดูตี่ลี่" จับเว็บพนันเงินหมุนเวียน 1.6 พันล้าน
เร่งสอบ 119 คนไทยแก๊งคอลเซนเตอร์สมัครใจหรือไม่ พบ 7 คนมีหมายจับ
"กัมพูชา" ส่งกลับ "119 คนไทย" หลังทลายตึกคอลเซนเตอร์