มาซาโตะ โอคาดะ แพทย์ประจำห้องฉุกเฉินชาวญี่ปุ่นที่โรงพยาบาลมินามิ ฮอตติทอล เริ่มต้นความผูกพันกับเมืองไทยจากการได้ชมการชกของบัวขาว ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้เขาเดินทางมาฝึกมวยไทยที่เมืองไทยตอนอายุ 20 ปี การเดินทางครั้งนั้นกินเวลานานถึง 1 ปีครึ่ง แม้จะมีเงินติดตัวไม่มาก แต่ด้วยน้ำใจของคนไทย ทั้งเด็กในค่ายมวยที่แบ่งปันขนมและเจ้าของอพาร์ตเมนต์ที่ช่วยเหลือเรื่องอาหาร ทำให้เขาสามารถอยู่ฝึกฝนจนจบช่วงเวลานั้นได้ ระหว่างการศึกษาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยในจังหวัดโออิตา มาซาโตะใช้เวลาว่างและวันหยุดเดินทางมาเมืองไทยอย่างสม่ำเสมอเพื่อฝึกมวย จนสามารถพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว ปัจจุบันเขาแบ่งเวลาระหว่างการเป็นแพทย์และนักมวยได้อย่างลงตัว โดยตื่นเช้าวิ่ง 10 กิโลเมตร ทำงานในโรงพยาบาลช่วงกลางวัน และซ้อมมวยหลังเลิกงาน ความมุ่งมั่นทำให้เขาคว้าแชมป์มวยไทยได้ถึง 2 เข็มขัด จาก MWG และ WPMS
ความพิเศษของมาซาโตะคือการใช้ศอกเป็นอาวุธหลัก ซึ่งเป็นเทคนิคที่คนญี่ปุ่นไม่ค่อยถนัด ด้วยความเป็นแพทย์ทำให้เขาสามารถเย็บแผลให้ตัวเองได้หากเกิดบาดเจ็บระหว่างการชก เพื่อนร่วมงานที่โรงพยาบาลชื่นชมว่าเขาเป็นคนมีพลังสูง และการเป็นทั้งแพทย์และนักมวยช่วยให้มีมุมมองที่กว้างขึ้น ความรักที่มีต่อเมืองไทยทำให้มาซาโตะซื้ออพาร์ตเมนต์ที่เคยพักสมัยฝึกมวยไว้เป็นที่พักยามมาเมืองไทย เขาถือว่าที่นั่นเป็นบ้านที่แท้จริง และยังรักในวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะอาหารไทยอย่างข้าวมันไก่ กะเพราหมูสับไข่ดาว ผัดไทย และแกงเขียวหวาน นอกจากนี้ยังสะสมรถตุ๊กตุ๊กและพระสมเด็จ
มาซาโตะมีความฝันอยากกลับมาทำงานเป็นแพทย์ในเมืองไทย เพื่อตอบแทนความเมตตาที่เคยได้รับ เขาสวมเสื้อที่มีคำว่า "ทาตาเกา ด็อกเตอร์" ซึ่งสื่อถึงการเป็นคุณหมอนักสู้ที่ไม่ย่อท้อทั้งในการรักษาคนไข้และการเป็นนักมวย แม้ในช่วงโควิดที่ไม่สามารถเดินทางมาเมืองไทยได้ แต่เขาก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์และความทรงจำที่มีต่อเมืองไทยไว้อย่างแน่นแฟ้น
ปัจจุบันมาซาโตะยังคงแข่งขันมวยไทยอาชีพ ซึ่งจะมีการแข่งประมาณ 3-4 ครั้งต่อปี เขาให้ความสำคัญกับการฝึกฝนทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะการรักษาความเข้มแข็งทางจิตใจเมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายในสังเวียน การผสมผสานระหว่างศาสตร์การแพทย์และศิลปะมวยไทยทำให้เขาเป็นบุคคลที่มีเอกลักษณ์และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้พบเห็น
ติดตามชมได้ในรายการ ดูให้รู้ วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2568 เวลา 17.30 - 18.00 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมผ่านทีวีออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live และติดตามความเคลื่อนไหวของรายการได้ที่ www.facebook.com/Dohiru
มาซาโตะ โอคาดะ แพทย์ประจำห้องฉุกเฉินชาวญี่ปุ่นที่โรงพยาบาลมินามิ ฮอตติทอล เริ่มต้นความผูกพันกับเมืองไทยจากการได้ชมการชกของบัวขาว ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้เขาเดินทางมาฝึกมวยไทยที่เมืองไทยตอนอายุ 20 ปี การเดินทางครั้งนั้นกินเวลานานถึง 1 ปีครึ่ง แม้จะมีเงินติดตัวไม่มาก แต่ด้วยน้ำใจของคนไทย ทั้งเด็กในค่ายมวยที่แบ่งปันขนมและเจ้าของอพาร์ตเมนต์ที่ช่วยเหลือเรื่องอาหาร ทำให้เขาสามารถอยู่ฝึกฝนจนจบช่วงเวลานั้นได้ ระหว่างการศึกษาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยในจังหวัดโออิตา มาซาโตะใช้เวลาว่างและวันหยุดเดินทางมาเมืองไทยอย่างสม่ำเสมอเพื่อฝึกมวย จนสามารถพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว ปัจจุบันเขาแบ่งเวลาระหว่างการเป็นแพทย์และนักมวยได้อย่างลงตัว โดยตื่นเช้าวิ่ง 10 กิโลเมตร ทำงานในโรงพยาบาลช่วงกลางวัน และซ้อมมวยหลังเลิกงาน ความมุ่งมั่นทำให้เขาคว้าแชมป์มวยไทยได้ถึง 2 เข็มขัด จาก MWG และ WPMS
ความพิเศษของมาซาโตะคือการใช้ศอกเป็นอาวุธหลัก ซึ่งเป็นเทคนิคที่คนญี่ปุ่นไม่ค่อยถนัด ด้วยความเป็นแพทย์ทำให้เขาสามารถเย็บแผลให้ตัวเองได้หากเกิดบาดเจ็บระหว่างการชก เพื่อนร่วมงานที่โรงพยาบาลชื่นชมว่าเขาเป็นคนมีพลังสูง และการเป็นทั้งแพทย์และนักมวยช่วยให้มีมุมมองที่กว้างขึ้น ความรักที่มีต่อเมืองไทยทำให้มาซาโตะซื้ออพาร์ตเมนต์ที่เคยพักสมัยฝึกมวยไว้เป็นที่พักยามมาเมืองไทย เขาถือว่าที่นั่นเป็นบ้านที่แท้จริง และยังรักในวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะอาหารไทยอย่างข้าวมันไก่ กะเพราหมูสับไข่ดาว ผัดไทย และแกงเขียวหวาน นอกจากนี้ยังสะสมรถตุ๊กตุ๊กและพระสมเด็จ
มาซาโตะมีความฝันอยากกลับมาทำงานเป็นแพทย์ในเมืองไทย เพื่อตอบแทนความเมตตาที่เคยได้รับ เขาสวมเสื้อที่มีคำว่า "ทาตาเกา ด็อกเตอร์" ซึ่งสื่อถึงการเป็นคุณหมอนักสู้ที่ไม่ย่อท้อทั้งในการรักษาคนไข้และการเป็นนักมวย แม้ในช่วงโควิดที่ไม่สามารถเดินทางมาเมืองไทยได้ แต่เขาก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์และความทรงจำที่มีต่อเมืองไทยไว้อย่างแน่นแฟ้น
ปัจจุบันมาซาโตะยังคงแข่งขันมวยไทยอาชีพ ซึ่งจะมีการแข่งประมาณ 3-4 ครั้งต่อปี เขาให้ความสำคัญกับการฝึกฝนทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะการรักษาความเข้มแข็งทางจิตใจเมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายในสังเวียน การผสมผสานระหว่างศาสตร์การแพทย์และศิลปะมวยไทยทำให้เขาเป็นบุคคลที่มีเอกลักษณ์และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้พบเห็น
ติดตามชมได้ในรายการ ดูให้รู้ วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2568 เวลา 17.30 - 18.00 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมผ่านทีวีออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live และติดตามความเคลื่อนไหวของรายการได้ที่ www.facebook.com/Dohiru