เมื่อวันที่ 22 เม.ย.2568 ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ CNN รายงานว่า ปธน.สหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความตื่นเต้นให้วงการการค้าทั่วโลก ด้วยการประกาศว่า ภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนที่พุ่งสูงถึงร้อยละ 145 จะ "ลดลงอย่างมาก" แต่จะไม่ยกเลิกทั้งหมด
การเปลี่ยนท่าทีครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่อาจผ่อนคลายสงครามการค้าระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดโลกมาหลายสัปดาห์ ท่ามกลางความผันผวนของหุ้นและความกังวลเรื่องภาวะถดถอย
ร้อยละ 145 สูงมาก แต่ต่อไปจะไม่สูงขนาดนั้น จะลดลงอย่างมาก แต่จะไม่เป็นศูนย์
คำแถลงนี้ตอบสนองต่อความเห็นของ สก็อตต์ เบสเซนต์ รมว.คลังสหรัฐฯ ซึ่งระบุในการประชุมส่วนตัวของ JPMorgan Chase ว่าสงครามภาษีในระดับปัจจุบันไม่ยั่งยืน และคาดว่าจะมีการลดระดับความขัดแย้งในอนาคตอันใกล้ คำพูดของเบสเซนต์จุดประกายความหวังให้วอลล์สตรีท ดันดัชนีหุ้นสหรัฐฯ พุ่งสูงสุดในวันนี้ ส่วนตลาดเอเชีย เช่น ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกง พุ่งกว่าร้อยละ 2
ทำไม "ทรัมป์" ถึงถอย ?
การประกาศลดภาษีของทรัมป์เกิดขึ้นหลังจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีนทวีความรุนแรง โดยสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าจีนถึงร้อยละ 145 และจีนตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ร้อยละ 125 พร้อมมาตรการกีดกันอื่น ๆ เช่น จำกัดการส่งออกแร่หายากที่ใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและอาวุธ รวมถึงส่งเครื่องบินโบอิง 2 ลำที่สั่งซื้อกลับไปยังสหรัฐฯ และลดโควตาหนังฮอลลีวูดในจีน การตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันนี้ ทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกปั่นป่วน ซัปพลายเชนสะดุด และเกิดความกังวลถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย

เบสเซนต์เผยว่า เป้าหมายของสหรัฐฯ ไม่ใช่การตัดขาดจากจีน แต่เป็นการปรับสมดุลการค้า เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้ประโยชน์ ทรัมป์เองก็ย้ำว่า เขาต้องการเจรจากับ สี จิ้นผิง ผู้นำจีน โดยจะไม่เล่นหนักและหวังว่า "เราจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข" คำพูดนี้สะท้อนความพยายามของทรัมป์ในการหาทางออกจากความขัดแย้งที่เริ่มบานปลาย
ด้านจีน รัฐบาลปักกิ่งแสดงท่าทีแข็งกร้าวแต่พร้อมเจรจา กัว เจียคุน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ระบุว่า หากสหรัฐฯ ต้องการทำข้อตกลง
ต้องหยุดการข่มขู่ บีบบังคับ และเจรจาด้วยความเท่าเทียม เคารพซึ่งกันและกัน
เขาย้ำว่าการพูดว่าจะทำข้อตกลงพร้อมกับกดดันอย่างหนัก ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง และจะไม่ได้ผล จีนยังคงยืนยันจุดยืนว่าไม่ต้องการสู้ แต่ไม่กลัวสู้ ถ้าต้องสู้ก็สู้ถึงที่สุด ถ้าจะคุย ประตูของเราก็เปิดกว้าง
ในโลกออนไลน์ของจีน การเปลี่ยนท่าทีของทรัมป์กลายเป็นประเด็นร้อน แฮชแท็ก "ทรัมป์ถอยแล้ว" (Trump chickened out) ติดเทรนด์บน Weibo มียอดวิวกว่า 150 ล้านครั้ง สะท้อนความรู้สึกของชาวเน็ตจีนที่มองว่าทรัมป์เริ่มยอมจำนนต่อแรงกดดันจากจีนและผลกระทบทางเศรษฐกิจ
หุ้นดีดขึ้นรับสงครามการค้าผ่อนคลาย
การส่งสัญญาณลดภาษีของทรัมป์สร้างความหวังให้ตลาดการเงินทั่วโลก ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ เช่น S&P 500 และ Nasdaq พุ่งขึ้นทันทีหลังคำพูดของเบสเซนต์ ในเอเชีย ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 และ Kospi ของเกาหลีใต้ปิดบวกร้อยละ 1.5 การฟื้นตัวของตลาดสะท้อนความเชื่อมั่นว่านโยบายการค้าที่รุนแรงของทรัมป์อาจผ่อนคลายลง
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ เนื่องจากทรัมป์ย้ำว่าภาษีจะไม่ลดลงถึงศูนย์ และการเจรจากับจีนยังไม่เริ่มอย่างเป็นทางการ
แม้ทรัมป์จะแสดงท่าทีประนีประนอม แต่การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจไม่ง่าย แหล่งข่าวใกล้ชิดรัฐบาลจีนเผยว่า ก่อนที่ทรัมป์จะประกาศภาษี Liberation Day เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2568 จีนได้แต่งตั้งผู้แทนเจรจาแล้ว แต่ยังไม่ชัดเจนว่าใครคือผู้ติดต่อฝั่งสหรัฐฯ ทรัมป์อาจต้องการเจรจาด้วยตัวเอง ซึ่งขัดกับวิธีการทำงานของจีนที่เน้นการเจรจาผ่านตัวแทนอย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้ ความเห็นที่แข็งกร้าวต่อจีนจากคณะรัฐมนตรีของทรัมป์ เช่น รอง ปธน.เจดี แวนซ์ ซึ่งเคยวิจารณ์จีนอย่างรุนแรง ทำให้จีนรู้สึกว่าทรัมป์อาจไม่ได้จริงใจ แม้จะพูดถึงความสัมพันธ์ที่ดีกับ สี จิ้นผิง ก็ตาม

การที่ทรัมป์ส่งสัญญาณลดภาษีเป็นความหวังครั้งใหม่ในการคลายความตึงเครียดที่รุนแรงขึ้นนับตั้งแต่เขาเริ่มใช้ภาษีร้อยละ 145 กับจีนเมื่อต้นเดือน เม.ย.2568 อย่างไรก็ตาม การเจรจายังคงเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากจีนยืนกรานในหลักการของความเท่าเทียม และยังคงตอบโต้ด้วยมาตรการที่กระทบอุตสาหกรรมสำคัญของสหรัฐฯ เช่น เทคโนโลยีและการบิน
คำถามใหญ่คือ สี จิ้นผิง จะตอบรับคำเชิญเจรจาของ ทรัมป์ หรือไม่ ? และทั้ง 2 ฝ่ายจะหาจุดสมดุลได้อย่างไรในสงครามการค้าที่สั่นสะเทือนโลก
อ่านข่าวอื่น :