ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ภาษีจีนทะยาน 145% ทรัมป์ รอสาย สี จิ้นผิง ปักกิ่งเมินเจรจา

ต่างประเทศ
11 เม.ย. 68
12:12
651
Logo Thai PBS
ภาษีจีนทะยาน 145% ทรัมป์ รอสาย สี จิ้นผิง ปักกิ่งเมินเจรจา
อ่านให้ฟัง
08:57อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
สหรัฐฯ-จีนปะทะเดือดในสงครามการค้า หลังทรัมป์ขึ้นภาษีจีนเพิ่มเป็น 145% และจีนตอบโต้ด้วยลดการนำเข้าภาพยนตร์-ขึ้นภาษีสหรัฐฯ ทรัมป์รอจีนติดต่อก่อน แต่ปักกิ่งย้ำต้องเจรจาบนความเท่าเทียม ความขัดแย้งนี้สั่นสะเทือนเศรษฐกิจโลก

วันนี้ (11 เม.ย.2568) สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเริ่มวิกฤตมากขึ้น เมื่อ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนทุกประเภทเป็นร้อยละ 145 ถือเป็นการยกระดับความขัดแย้งครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ

จีนตอบโต้อย่างรวดเร็วด้วยการจำกัดการส่งออกภาพยนตร์จากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่ามหาศาล และเพิ่มภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ เป็นร้อยละ 84 การปะทะกันครั้งนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อทั้ง 2 ประเทศ แต่ยังสร้างความปั่นป่วนต่อห่วงโซ่อุปทานและตลาดการเงินทั่วโลก

ทรัมป์รอ "สี จิ้นผิง" ยกหูเจรจา 

เจ้าหน้าที่ระดับสูง 2 คนจากทำเนียบขาวยืนยันว่า สหรัฐฯ จะไม่เป็นฝ่ายเริ่มติดต่อจีน โดยทรัมป์สั่งการให้ทีมงานแจ้งปักกิ่งอย่างชัดเจนว่า ปธน.สี จิ้นผิง ต้องเป็นผู้ร้องขอการสนทนาทางโทรศัพท์ก่อน จุดยืนนี้ถูกสื่อสารไปยังจีนตั้งแต่ 2 เดือนก่อน แต่แหล่งข่าว 3 รายที่ทราบข้อมูลการสื่อสารอย่างเป็นทางการระบุว่า

จีนปฏิเสธที่จะจัดการประชุมระดับผู้นำ อุปสรรคสำคัญคือความกังวลของ สี จิ้นผิง ที่ไม่อยากถูกมองว่าอ่อนแอในสายตาผู้ใต้บังคับบัญชาและประชาชนจีน หากยอมเป็นฝ่ายติดต่อก่อน

ทรัมป์แสดงความมั่นใจต่อสาธารณะว่า จีนจะยอมเจรจาในที่สุด โดยกล่าวในงานที่ทำเนียบขาวเมื่อวันพุธที่ 9 เม.ย.ว่า จีนอยากทำข้อตกลง แต่พวกเขาไม่รู้วิธีเริ่มต้น เพราะพวกเขาเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจ เขาเสนอภาพของข้อตกลงครั้งใหญ่ที่ครอบคลุมการเพิ่มการส่งออกสินค้าสหรัฐฯ ไปจีน การควบคุมการส่งออกยาเสพติดเฟนทานิลที่เป็นปัญหาในสหรัฐฯ และการปรับโครงสร้างแพลตฟอร์ม TikTok สำหรับผู้ใช้ในสหรัฐฯ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม การสานต่อเป้าหมายนี้เผชิญความท้าทายจากความล้มเหลวของข้อตกลงการค้าสมัยแรกของทรัมป์ ซึ่งจีนอ้างว่าไม่สามารถปฏิบัติตามได้เนื่องจากวิกฤตโควิด-19

ความพยายามสร้างช่องทางการสื่อสารระหว่าง 2 ฝ่ายประสบปัญหาอย่างหนัก แม้ว่าการติดต่อในระดับปฏิบัติการยังคงดำเนินอยู่ แต่การเจรจาระดับสูงกลับหยุดชะงัก จีนพยายามจัดตั้งช่องทางลับเพื่อเจรจา คล้ายกับที่เคยทำในสมัย ปธน.โจ ไบเดน โดยมี เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติเป็นตัวกลาง

แต่สหรัฐฯ ปฏิเสธข้อเสนอให้ รัฐมนตรีต่างประเทศ หวัง อี้ เป็นผู้แทนเจรจา โดยระบุว่าเขาไม่มีความใกล้ชิดเพียงพอในวงในของ สี จิ้นผิง สหรัฐฯ เสนอชื่อบุคคลอื่นที่ต้องการให้เป็นตัวกลาง แต่จีนยังคงยืนกรานไม่เปลี่ยนจุดยืน

ความตึงเครียดยิ่งทวีขึ้นเมื่อจีนเผยแพร่รายงานการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง หวัง อี้ กับ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ โดยระบุว่ารูบิโอถูกเตือนไม่ให้ก้าวก่ายเกินขอบเขต ซึ่งรูบิโอยืนยันว่าเป็นการบิดเบือน "สิ่งนั้นไม่เคยเกิดขึ้นในการสนทนา หรืออาจเป็นเพราะล่ามของพวกเขาเลือกที่จะไม่แปลเช่นนั้น" รูบิโอกล่าว

การขาดช่องทางการสื่อสารระดับสูงทำให้การจัดประชุมระหว่างผู้นำเป็นเรื่องยาก แม้ว่าทรัมป์จะยินดีให้มีการเจรจาในระดับต่ำกว่าผู้นำหากนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

สหรัฐฯ หันเจรจา ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ กดดันจีนทางอ้อม

ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ หันไปเจรจาการค้ากับชาติอื่นในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ เวียดนาม เพื่อสร้างแนวร่วมกดดันจีนทางอ้อม เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเผยว่า นี่เป็นกลยุทธ์เพื่อบีบให้จีนยอมเจรจา ส่วนจีนพิจารณามาตรการตอบโต้ที่รุนแรงขึ้น เช่น การลดการซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะถั่วเหลืองจากแถบมิดเวสต์ และหันไปซื้อจากบราซิลแทน ซึ่งเป็นวิธีที่เคยใช้ในสมัยแรกของทรัมป์ นอกจากนี้ จีนยังขู่จำกัดการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและยานยนต์ไฟฟ้า

จีนเคยพิจารณามาตรการที่รุนแรงกว่านี้ เช่น การจำกัดการดำเนินงานของบริษัทสหรัฐฯ เช่น Apple, Tesla, Caterpillar และ Starbucks ในจีน แต่สุดท้ายถอนตัวจากแผนดังกล่าว เนื่องจากเกรงว่าผู้บริโภคจีนจะต่อต้าน และอาจสูญเสียโอกาสในการใช้ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเหล่านี้เป็นช่องทางเจรจา อย่างไรก็ตาม จีนยังคงมองหาวิธีตอบโต้ที่สร้างความเสียหายต่อสหรัฐฯ ในระยะยาว เช่น การซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในปริมาณมาก หรือการห้ามส่งออกแร่หายากทั้งหมด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าเป็น "การยกระดับความขัดแย้งสู่ขั้นร้ายแรง"

ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แดนนี รัสเซล อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า จีนระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ "สี จิ้นผิง" ตกอยู่ในสถานการณ์เสียหน้า คล้ายกับที่ ปธน.โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครนเผชิญระหว่างพบทรัมป์ที่ทำเนียบขาว

จีนต้องการการเตรียมการที่รอบคอบและกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนก่อนการประชุม

รัสเซลกล่าว ขณะที่เมลานี ฮาร์ต จาก Atlantic Council ชี้ว่า จีนมีประสบการณ์ในการใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจ เช่น การคว่ำบาตรบริษัทหรือตัดการส่งออก เพื่อกดดันคู่เจรจา ซึ่งเป็น "คลังแสง" ที่จีนพัฒนามานาน

ด้านการเมืองภายในประเทศ ผู้เชี่ยวชาญมองว่า สี จิ้นผิง อยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งกว่า เนื่องจากสามารถโน้มน้าวประชาชนจีนให้ยอมรับผลกระทบจากภาษี โดยใช้ภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ เป็น "ผู้รุกราน" ในทางกลับกัน ทรัมป์เผชิญแรงกดดันจากทีมงานสายเหยี่ยว เช่น ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่เชื่อว่าจีนไม่สามารถรับมือกับความกดดันทางเศรษฐกิจได้ แต่แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดทั้ง 2 รัฐบาลเตือนว่า ความเชื่อนี้อาจเป็นการประเมินที่ผิดพลาด "นี่จะเป็นการทำลายล้างทั้ง 2 ฝ่าย" แหล่งข่าวระบุ

ในอดีต ความสัมพันธ์ระหว่าง ทรัมป์-สี จิ้นผิง เคยอบอุ่น โดยเฉพาะในปี 2560 ที่ทั้งคู่พบกันที่ มาร์ อะลาโก และ ปักกิ่ง แต่ความสัมพันธ์เสื่อมถอยในช่วงท้ายของสมัยแรกของทรัมป์ โดยทรัมป์แสดงความเสียใจที่ทีมงานในขณะนั้น อ่อนแอเกินไป ทำให้จีนไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงซื้อสินค้าสหรัฐฯ จำนวนมาก

ปัจจุบัน ทรัมป์หวังสร้างข้อตกลงที่ครอบคลุมมากขึ้น แต่ทีมความมั่นคงของเขากลับกังวลเกี่ยวกับการลงทุนของจีนในสหรัฐ ฯ รวมถึงประเด็นยาเสพติดและเทคโนโลยี

ล่าสุด จีนยื่นข้อเสนอเกี่ยวกับการควบคุมยาเสพติดเฟนทานิลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากทรัมป์กดดันในเรื่องนี้ แต่สถานทูตสหรัฐฯ ในปักกิ่งยังไม่ตอบรับข้อเสนอ โดยแหล่งข่าวเผยว่าสหรัฐฯ มองว่าไม่จริงจังพอ ความไม่ลงรอยนี้ยิ่งตอกย้ำความท้าทายในการหาทางออก ขณะที่โลกจับตาว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะยอมถอย หรือเดินหน้าสู่ความขัดแย้งที่อาจเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจโลก

ที่มา : CNN

อ่านข่าวอื่น :

ด่วน! กู้ภัยพบแสงไฟมือถือ ใต้ซากตึกโซน B อินฟราเรดสแกนมี 2 คน

เฮลิคอปเตอร์ตกลงแม่น้ำฮัดสัน นิวยอร์ก เสียชีวิต 6 คน

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง