ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

จะเกิดอะไรขึ้น ? ถ้าโลกพร้อมใจกัน ตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการ "แบน"

ต่างประเทศ
10 เม.ย. 68
08:50
2,067
Logo Thai PBS
จะเกิดอะไรขึ้น ? ถ้าโลกพร้อมใจกัน ตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการ "แบน"
อ่านให้ฟัง
07:40อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ลองนึกภาพวันที่ทุกประเทศทั่วโลกตัดสินใจว่า "พอแล้ว!" กับนโยบายภาษีสุดเข้มของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ จากมาตรการภาษีนำเข้า 125% ต่อสินค้าจากจีน และ 10% กับชาติอื่น ๆ แล้วเลือกที่จะคว่ำบาตรสหรัฐฯ สถานการณ์นี้จะส่งผลกระทบยังไงกับสหรัฐฯ และ โลกบ้าง ?

วันนี้ (10 เม.ย.2568) สหรัฐฯ เป็นประเทศที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศมากกว่าที่หลายคนคิด กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (U.S. Department of Commerce) ระบุว่า การส่งออกสร้างรายได้ถึงร้อยละ 10-12 ของ GDP สหรัฐฯ ในแต่ละปี

ถ้าทุกชาติแบนสหรัฐฯ สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น เครื่องบินโบอิง รถยนต์จากดีทรอยต์ หรือผลไม้จากแคลิฟอร์เนีย จะไม่มีตลาดรองรับ Reuters รายงานว่า บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Boeing หรือ General Motors อาจต้องลดการผลิต ปิดโรงงาน หรือปลดพนักงานจำนวนมาก เพราะรายได้จากการส่งออกหายไปในพริบตา

The Wall Street Journal คาดการณ์ว่า ถ้าการค้าสะดุดแบบนี้ GDP สหรัฐฯ อาจโตได้แค่ร้อยละ 1 ในปีนี้ หรือแย่กว่านั้นคือเข้าสู่ภาวะถดถอยเต็มตัว

ในประเทศเอง คนอเมริกันจะเจอผลกระทบที่หนักหน่วง The New York Times ชี้ว่า สินค้านำเข้าที่เคยราคาถูกและหาง่าย เช่น เสื้อผ้าจากจีน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จากเกาหลีใต้ หรืออะโวคาโดจากเม็กซิโก จะหายไปจากชั้นวางในซูเปอร์มาร์เก็ต ถ้าสหรัฐฯ ต้องผลิตทุกอย่างเอง

นอกจากนี้ เอ็มมา โคชแรน นักการตลาดจากออตตาวา กล่าวในการสัมภาษณ์กับ NBC News ว่าต้นทุนการผลิตในประเทศจะสูงขึ้นมาก เพราะขาดทั้งวัตถุดิบนำเข้า โครงสร้างพื้นฐาน และแรงงานที่พร้อมทันที ผลคือ ราคาของกินของใช้พุ่งสูง เช่น ค่ากาแฟแก้วโปรดหรือเสื้อยืดตัวเก่งอาจแพงขึ้น 2-3 เท่า เงินในกระเป๋าจะซื้ออะไรได้น้อยลง

แม้ว่าทรัมป์จะสัญญาว่าจะลดภาษีในประเทศเพื่อชดเชย แต่ถ้าสินค้าแพงไปหมด เงินที่เหลือก็อาจไม่ช่วยอะไร

ยิ่งไปกว่านั้นนักวิเคราะห์การเงินจาก Forbes วิเคราะห์ว่า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เช่น Apple หรือ Tesla ที่พึ่งพาชิ้นส่วนจากเอเชีย จะเผชิญปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ อาจต้องหยุดสายการผลิตชั่วคราว หรือย้ายฐานไปต่างประเทศ ซึ่งจะยิ่งทำให้งานในสหรัฐฯ หายไปอีก การเงินก็จะวุ่นวาย ค่าเงินดอลลาร์อาจอ่อนลง เพราะต่างชาติไม่ต้องการถือเงินสหรัฐฯ อีกต่อไป ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อพยุงค่าเงิน ซึ่งจะทำให้หนี้ครัวเรือนและธุรกิจแพงขึ้นไปอีก

การปรับตัวของ "โลก" แบบโกลาหล

ฝั่งประเทศต่าง ๆ นอกอาณาเขตสหรัฐฯ ก็จะเจอความปั่นป่วนไม่น้อย International Monetary Fund (IMF) คาดว่า เศรษฐกิจโลกอาจโตช้าลงร้อยละ 3.3 ในปี 2568 ถ้าการค้าสหรัฐฯ หยุดชะงัก

ประเทศที่พึ่งสหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่ เช่น แคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งส่งออกไปสหรัฐฯ มากถึงร้อยละ 70-80 ของสินค้าทั้งหมด จะเจอปัญหาหนัก อุตสาหกรรมรถยนต์ในเม็กซิโก หรือสินค้าเกษตรในแคนาดา ต้องหยุดชะงัก เพราะหาตลาดใหม่ทดแทนไม่ทัน จีนเองที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ปีละ 500,000 ล้านดอลลาร์ จะต้องหันไปพึ่งยุโรป อาเซียน หรือแอฟริกาแทน ซึ่งอาจทำให้ราคาสินค้าถูกลงในบางภูมิภาค แต่กว่าจะปรับตัวได้ก็ต้องใช้เวลานาน

The Economist วิเคราะห์ว่า การค้าโลกอาจแตกออกเป็นกลุ่ม ๆ ยุโรปอาจรวมตัวแน่นขึ้นผ่าน EU เพื่อพึ่งพาตัวเองมากขึ้น จีนอาจครองอิทธิพลในเอเชียด้วยข้อตกลง ขณะที่อินเดียและบราซิลอาจกลายเป็นผู้นำในภูมิภาคของตัวเอง BBC ชี้ว่า ซัปพลายเชนที่เคยเชื่อมโยงกันทั่วโลก เช่น การผลิตสมาร์ตโฟนหรือรถยนต์ จะพังทลายลง สินค้าบางอย่างอาจขาดแคลนชั่วคราว ราคาในหลายประเทศจะสูงขึ้น เพราะต้องหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ ประเทศเล็ก ๆ ที่เคยพึ่งสหรัฐฯ เช่น เวียดนามหรือไทย อาจเจอปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว เพราะเสียตลาดส่งออกใหญ่

แต่โลกอาจได้ประโยชน์ในระยะยาว The Guardian มองว่า การตัดขาดสหรัฐฯ อาจบังคับให้ชาติอื่น ๆ พัฒนาอุตสาหกรรมของตัวเอง เช่น การผลิตชิปในยุโรป หรือพลังงานทดแทนในอาเซียน ซึ่งจะลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้จะใช้เวลาหลายปี และระหว่างนั้น เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวหนัก

ฝันที่แทบไม่มีวันเป็นจริง

แต่เอาเข้าจริงแล้ว การที่ทุกชาติจะร่วมใจกัน "แบนสหรัฐฯ" นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย สหรัฐฯ ยังเป็นตลาดใหญ่ที่หลายประเทศเลี่ยงไม่ได้ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือเยอรมนี อาจไม่อยากตัดขาด เพราะกลัวเสียพันธมิตรด้านความมั่นคงหรือเทคโนโลยี  เจยันต์ เมนอน นักวิจัยจากสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak กล่าวกับนิตยสาร TIME

บางชาติอาจเลือกวิธีเจรจาขอยกเว้นภาษี แทนการตอบโต้เต็มรูปแบบ เหมือนที่ 75 ประเทศทำหลังทรัมป์ประกาศหยุดภาษี 90 วัน แต่ถ้าทรัมป์ยังเดินหน้าภาษีแบบนี้ต่อไป โดยไม่ยอมผ่อนปรน ความอดทนของโลกอาจถึงขีดสุด อาจเริ่มมีการตั้งกลุ่มการค้าใหม่ที่ไม่พึ่งสหรัฐฯ 

Bloomberg วิเคราะห์ว่า ถ้าสถานการณ์ถึงจุดแตกหักจริง ๆ สหรัฐฯ อาจพยายามกดดันด้วยวิธีอื่น เช่น คว่ำบาตรทางการเงิน หรือใช้กองทัพ แต่ถ้าทุกชาติรวมตัวกันแข็งแกร่ง อิทธิพลของสหรัฐฯ อาจลดลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ถ้าถึงจุดนั้นจริง ๆ สงครามการค้าจะกลายเป็นหายนะ มีราคาที่ทุกคนต้องจ่าย สหรัฐฯ อาจต้องกลับมาคิดใหม่ว่า การเดินเกมภาษีแบบนี้คุ้มหรือไม่ หรือจะยอมถอยก่อนที่โลกจะทิ้งสหรัฐฯ ไปจริง ๆ

แหล่งที่มา : TIME, กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ, Reuters, The Wall Street Journal, The New York Times, International Monetary Fund (IMF), WTO, The Economist, The Guardian

อ่านข่าวอื่น :

มีผลทันที! ทรัมป์ซัดจีน 125% เบรกภาษี 75 ประเทศ 90 วัน

มหาศึกการค้าสหรัฐฯ-จีน ภาษี 104% เปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจโลก

5 เป้าหมายกำแพงภาษี "ทรัมป์" จ่อประกาศขึ้นภาษีนำเข้ายาครั้งใหญ่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง