ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

มหาศึกการค้าสหรัฐฯ-จีน ภาษี 104% เปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจโลก

ต่างประเทศ
9 เม.ย. 68
12:49
716
Logo Thai PBS
มหาศึกการค้าสหรัฐฯ-จีน ภาษี 104% เปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจโลก
อ่านให้ฟัง
14:27อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
จีนยืนกรานไม่ถอยจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ หลัง ปธน.ทรัมป์ ไฟเขียวขึ้นภาษีสินค้าจีน 104% โดยจีนโต้กลับด้วยภาษี 34% พร้อมมาตรการเข้ม ทั้งปล่อยค่าเงินหยวนอ่อนลง หนุนตลาดหุ้นในประเทศ สถานการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามว่า สงครามครั้งนี้จะกระทบเศรษฐกิจทั่วโลกแค่ไหน ?

ความขัดแย้งทางการค้าระหว่าง 2 มหาอำนาจเศรษฐกิจอย่าง สหรัฐอเมริกา และ จีน ถึงจุดวิกฤต เมื่อ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งเพิ่มภาษีสินค้าจากจีนอีกร้อยละ 50 หากจีนไม่ยกเลิกภาษีตอบโต้ร้อยละ 34 ที่ตั้งไว้ ส่งผลให้ภาษีรวมสำหรับสินค้าจีนที่เข้าสหรัฐฯ อาจสูงถึงร้อยละ 104 มีผลตั้งแต่วันพุธที่ 9 เม.ย.2568 ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ

การตัดสินใจนี้ต่อยอดจากนโยบายภาษีถ้วนหน้าที่ทรัมป์เริ่มใช้เมื่อต้นเดือนเม.ย. ซึ่งกำหนดอัตราภาษีร้อยละ 20 และ ร้อยละ 34 สำหรับจีน และขยายไปถึงประเทศอื่น ๆ เช่น เวียดนาม กัมพูชา และ ไทย

สินค้าที่จะได้รับผลกระทบครอบคลุมตั้งแต่ สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ของเล่น เครื่องเล่นวิดีโอเกม ไปจนถึงสินค้าอุตสาหกรรมพื้นฐาน เช่น สกรู หม้อต้มน้ำ และชิ้นส่วนเครื่องจักร

Alfredo Montufar-Helu ที่ปรึกษาอาวุโสจาก The Conference Board วิเคราะห์ว่า สถานการณ์นี้ถึง "ทางตัน" ที่อาจนำไปสู่ความเสียหายทางเศรษฐกิจระยะยาว เพราะทั้ง 2 ฝ่ายต่างยึดมั่นในจุดยืน

จีนมองว่าการยอมถอยคือการเสียศักดิ์ศรีและให้สหรัฐฯ ได้เปรียบ

สงครามภาษีสหรัฐฯ-จีน จุดเริ่มต้นของความตึงเครียดครั้งใหม่

ผลกระทบเริ่มปรากฏชัดในตลาดการเงินโลก ตลาดหุ้นเอเชียเผชิญการเทขายครั้งใหญ่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ถือเป็นการร่วงหนักที่สุดในรอบทศวรรษ แม้จะฟื้นตัวเล็กน้อยในวันอังคารที่ 2 เม.ย. แต่ความผันผวนยังสูง นักวิเคราะห์มองว่า ทรัมป์ตั้งใจใช้ภาษีเป็นเครื่องมือกดดันให้จีนยอมจำนน แต่จีนกลับแสดงท่าทีแข็งกร้าว และเตรียมรับมืออย่างเต็มที่ สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะไม่ยอมให้สหรัฐฯ ครองเกมนี้แต่เพียงฝ่ายเดียว

ความขัดแย้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในสมัยแรกของทรัมป์ เขาเคยตั้งภาษีจีนมาแล้ว และ โจ ไบเดน ผู้สืบทอดตำแหน่งก็คงนโยบายนี้ไว้ ทำให้การพึ่งพาสินค้าจีนของสหรัฐฯ ลดลงจากร้อยละ 21 ในปี 2559 เหลือร้อยละ 13 ในปี 2567 อย่างไรก็ตาม การขู่เพิ่มภาษีครั้งนี้รุนแรงและรวดเร็วกว่าที่ผ่านมา สร้างความกังวลถึงผลกระทบที่อาจลุกลามเกินควบคุม

จีนทนรับความเจ็บปวดตอบโต้ความก้าวร้าวสหรัฐฯ

จีนตอบโต้ท่าทีของทรัมป์ด้วยการตั้งภาษีร้อยละ 34 สำหรับสินค้าสหรัฐฯ ทุกประเภท มีผลตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.2568 เป็นการตอบสนองแบบ "ตาต่อตา" ที่แสดงถึงความไม่ยอมถอย

นอกเหนือจากภาษี จีนยังใช้มาตรการเชิงรุก เช่น ปล่อยให้ค่าเงินหยวนอ่อนตัวลง ซึ่งช่วยให้สินค้าส่งออกของจีนมีราคาถูกลงและน่าสนใจในตลาดโลก รวมถึงสั่งการให้บริษัทที่รัฐสนับสนุนเข้าซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อป้องกันการทรุดตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่กำลังเผชิญความเปราะบาง

ย้อนไปในอดีต จีนเคยตอบโต้ภาษีรอบแรกของทรัมป์ด้วยการตั้งภาษีสินค้าสหรัฐฯ เช่น ถั่วเหลือง (ใช้เลี้ยงหมู 440 ล้านตัวในจีน) น้ำมัน และ ยา พร้อมควบคุมการส่งออกแร่หายากที่จำเป็นต่อเทคโนโลยี เช่น แกลเลียมและเจอร์เมเนียม ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมทหารและอิเล็กทรอนิกส์ จีนยังเริ่มสอบสวนบริษัทสหรัฐฯ เช่น Google ในข้อหาผูกขาด Mary Lovely

ผู้เชี่ยวชาญจาก Peterson Institute ระบุว่า จีนพร้อม "ทนรับความเจ็บปวด" เพื่อปกป้องจุดยืน แม้จะเผชิญปัญหาในประเทศ เช่น วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ การว่างงานที่เพิ่มขึ้น และการใช้จ่ายของประชาชนที่ลดลง

กลยุทธ์ของจีนครั้งนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมจำนนต่อ "การก้าวร้าวของสหรัฐฯ" ตามคำกล่าวของทางการจีน ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า จีนอาจมีวิธีตอบโต้เพิ่มเติมในคลังแสง เช่น การจำกัดการส่งออกแร่ธาตุสำคัญอย่างทองแดงหรือลิเธียม ซึ่งสหรัฐฯ ต้องการในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยี หรือกดดันบริษัทสหรัฐฯ ที่มีฐานในจีน เช่น Tesla และ Apple ให้เผชิญข้อจำกัดมากขึ้น การเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนถึงการเตรียมพร้อมรับศึกยืดเยื้อ

นอกจากนี้ การที่จีนปล่อยค่าเงินหยวนอ่อนลงยังช่วยลดแรงกดดันจากภาษีของสหรัฐฯ แต่ก็อาจทำให้ต้นทุนนำเข้าสูงขึ้นสำหรับจีนเอง ซึ่งเป็นดาบสองคมที่ต้องบริหารจัดการอย่างระมัดระวัง ขณะที่การสนับสนุนตลาดหุ้นในประเทศแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลจีนพยายามรักษาเสถียรภาพภายใน ท่ามกลางแรงกดดันจากภายนอกที่หนักหน่วง

ผลกระทบต่อสหรัฐฯ-จีน ความเสียหายสองทาง

สงครามการค้าครั้งนี้กระทบทั้งสหรัฐฯ และจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากข้อมูลสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในปี 2567 สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 438,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ส่งออกไปจีนเพียง 143,000 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ขาดดุลการค้า 295,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณร้อยละ 1 ของ GDP สหรัฐฯ)

หากภาษีพุ่งถึงร้อยละ 104 สินค้าจากจีน เช่น สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ และของเล่น จะมีราคาแพงขึ้น 5 เท่าจากภาษีเดิมที่เก็บร้อยละ 20 ส่งผลให้ผู้บริโภคสหรัฐฯ ต้องจ่ายเพิ่ม และกระทบบริษัทอย่าง Apple ซึ่งพึ่งพาการผลิตในจีน

ในทางกลับกัน สหรัฐฯ อาจหาทางเลือกอื่นแทนสินค้าจีนได้ยากในระยะสั้น Deborah Elms จาก Hinrich Foundation ชี้ว่า การเปลี่ยนซัพพลายเชน เช่น การนำเข้าจากเวียดนามหรือเม็กซิโก ต้องใช้เวลาและต้นทุนสูง ยิ่งไปกว่านั้น จีนเคยหลบเลี่ยงภาษีสหรัฐฯ ด้วยการส่งสินค้าผ่านประเทศอื่น เช่น แผงโซลาร์เซลล์ที่ย้ายฐานผลิตไปมาเลเซียและไทยในปี 2561 ซึ่งทรัมป์แก้เกมด้วยการตั้งภาษีเพิ่มกับประเทศเหล่านี้ (เวียดนาม ร้อยละ 46, กัมพูชา ร้อยละ 49) ทำให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ สูงขึ้นอยู่ดี

สำหรับจีน การส่งออกคือหัวใจของการเติบโตทางเศรษฐกิจมานาน หากช่องทางสู่สหรัฐฯ ถูกปิด รายได้จะหายไปมาก Andrew Collier จาก Harvard Kennedy School เตือนว่า ผลกระทบอาจ "กัดกิน" เศรษฐกิจจีนในไม่ช้า โดยเฉพาะเมื่อคนในจีนใช้จ่ายน้อยลงจากวิกฤตอสังหาฯ หนี้ท้องถิ่นพุ่ง และรัฐบาลมีทรัพยากรจำกัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

สี จิ้นผิง จึงต้องเผชิญทางเลือกยาก จะรักษาหน้าต่อโลก หรือ โฟกัสที่ความอยู่รอดของเศรษฐกิจในประเทศ 

นอกจากนี้ทั้ง 2 ชาติยังเชื่อมโยงกันเกินกว่าการค้าสินค้า Elms ระบุว่า การลงทุนข้ามชาติ การค้าดิจิทัล และข้อมูลที่ไหลเวียนมีมูลค่ามหาศาล การใช้ภาษีอาจไม่เพียงพอที่จะทำร้ายกันได้เต็มที่ สหรัฐฯ อาจจำกัดการส่งออกชิปเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI ไปจีน ขณะที่จีนอาจตอบโต้ด้วยการจำกัดแร่หายากเพิ่มเติม ซึ่งทั้งคู่เคยทำมาแล้วในอดีต ความเสียหายนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องราคาสินค้า แต่เป็นการกระทบโครงสร้างเศรษฐกิจที่ลึกซึ้ง

การค้าสหรัฐฯ - จีน กระทบทั่วโลกเป็นลูกโซ่

สหรัฐฯ และจีนรวมกันคิดเป็นร้อยละ 43 ของ GDP โลก ตามข้อมูล IMF หากสงครามการค้าทำให้ทั้งคู่ชะลอตัวหรือถดถอย เศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบตามไปด้วย การเติบโตทั่วโลกอาจช้าลง การลงทุนทั่วโลกลดลง และความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกอาจทรุด

"จีน" ซึ่งเป็นโรงงานใหญ่ของโลก ผลิตสินค้าเกินความต้องการในประเทศ และมีส่วนเกินการค้าสินค้าเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หากสินค้าเหล่านี้เข้าไปสหรัฐฯ ไม่ได้ อาจถูก "ทิ้ง" ในตลาดอื่น เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป หรือแอฟริกา

ตัวอย่างชัดเจนคือ "เหล็กกล้า" จีนผลิตเหล็กเกินความต้องการ และมักขายในราคาต่ำด้วยการอุดหนุนจากรัฐ เช่น เงินกู้ราคาถูก หากเหล็กนี้ถูกกันออกจากสหรัฐฯ อาจไหลเข้าตลาดอื่น สร้างปัญหาให้ผู้ผลิตท้องถิ่น เช่น ในอังกฤษ กลุ่ม UK Steel เตือนว่า เหล็กจีนราคาถูกอาจทำลายอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ กระทบงานและรายได้ แม้ผู้บริโภคบางส่วนอาจได้สินค้าราคาถูก แต่ผลกระทบระยะยาวต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นน่ากังวล

ประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนาม ซึ่งเผชิญภาษีจากทรัมป์ที่สูง ก็ต้องปรับตัวหนัก ต้องหาตลาดใหม่ หรือเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบ Roland Rajah จาก Lowy Institute ชี้ว่า ผลกระทบที่ "ล้น" ออกมาจะกระทบทุกมุมโลก ตลาดหุ้นเอเชียที่ร่วงเมื่อวันจันทร์เป็นสัญญาณแรก (7 เม.ย.) และหากสงครามยืดเยื้อ ซัพพลายเชนทั่วโลก เช่น การผลิตชิปหรือแบตเตอรี่ อาจหยุดชะงัก ส่งผลให้ราคาสินค้าทั่วโลกสูงขึ้น และเกิดความไม่แน่นอนในระยะยาว

ความเชื่อมโยงของโลกสมัยใหม่ทำให้ผลกระทบนี้ซับซ้อนยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น หากจีนจำกัดแร่หายาก สหรัฐฯ และพันธมิตร เช่น ญี่ปุ่นและยุโรป จะขาดวัตถุดิบสำคัญสำหรับเทคโนโลยี ขณะที่หากสหรัฐฯ จำกัดชิป AI จีนอาจชะลอการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง สงครามการค้าจึงไม่ใช่แค่เรื่องของ 2 ชาติ แต่เป็นการเปลี่ยนโฉมระบบเศรษฐกิจโลก

ทางออกที่ยังมองไม่เห็น

ไม่มีใครคาดเดาได้แน่ชัดว่าสงครามการค้าจะลงเอยอย่างไร Roland Rajah ระบุว่า ต่างจากสมัยแรกของทรัมป์ที่เน้นเจรจากับจีน รอบนี้จุดมุ่งหมายของภาษีไม่ชัดเจน ทำให้ยากต่อการคาดการณ์ จีนมีเครื่องมือตอบโต้หลากหลาย เช่น ปล่อยค่าเงินหยวนอ่อนลงอีก ซึ่งอาจทำให้การส่งออกจีนแข็งแกร่งขึ้นแต่กระทบการนำเข้า หรือจำกัดการดำเนินงานของบริษัทสหรัฐฯ ในจีน เช่น Apple และ Tesla ซึ่งมีโรงงานใหญ่ในจีน

คำถามคือ จีนจะตอบโต้แค่ไหน จะทำแค่เพื่อรักษาหน้า หรือจะกล้าใช้ทุกอย่างที่มี

บางฝ่ายหวังว่า สหรัฐฯ และจีนอาจเจรจาลับ ๆ เพื่อหาทางออก ทรัมป์ยังไม่เคยคุยกับสี จิ้นผิง ตั้งแต่กลับมาเป็นประธานาธิบดี แม้จีนจะส่งสัญญาณพร้อมเจรจาหลายครั้ง

อย่างไรก็ตาม Deborah Elms จาก Hinrich Foundation มองว่า ทรัมป์อาจ "เล่นเกินมือ" โดยเชื่อว่าตลาดสหรัฐฯ มีพลังมากพอให้จีนยอมถอย ซึ่งอาจไม่เป็นจริงก็ได้ Elms กังวลว่า ความเร็วและความรุนแรงของสถานการณ์อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การล่มสลายของซัพพลายเชนหรือวิกฤตการเงินโลก

Peter Navarro ที่ปรึกษาการค้าของทรัมป์ เสนอว่า สหรัฐฯ อาจกดดันประเทศอื่น เช่น เม็กซิโกและเวียดนาม ให้เลิกค้าขายกับจีน หากยังอยากส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งอาจยิ่งทำให้ความขัดแย้งขยายวง ในทางกลับกัน จีนอาจตอบโต้ด้วยการจำกัดแร่หายากเพิ่มเติม หรือห้ามบริษัทสหรัฐฯ เข้าถึงตลาดจีน ซึ่งมีประชากร 1,400 ล้านคน สถานการณ์นี้จึงเหมือน "เกมทนเจ็บ" ที่ทั้ง 2 ฝ่ายพยายามพิสูจน์ว่าใครแข็งแกร่งกว่า

ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องว่า สงครามการค้าอาจยืดเยื้อและเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจโลกอย่างถาวร ไม่ว่าจะจบด้วยการเจรจา การยอมถอยของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือการเผชิญหน้าต่อไป แต่ผลกระทบจะถึงตัวเราทุกคน ตั้งแต่ราคาสมาร์ตโฟนที่สูงขึ้น การขาดแคลนสินค้าบางอย่าง ไปจนถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจของโลกที่สั่นคลอน

คำถามใหญ่คือ ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมจ่ายราคานี้แค่ไหน ?
และโลกจะรับมือกับผลที่ตามมาได้อย่างไร ?

ที่มา : CNN, BBC, The New York Times 

อ่านข่าวเพิ่ม : 

คืนชีพหมาป่าสีขาวไดร์วูล์ฟ ครั้งแรกของโลกหลังสูญพันธุ์ 12,500 ปี

ถึงกำหนด 9 เม.ย. "ทรัมป์" รีดภาษีนานาชาติ ไม่อ่อนข้อ "จีน" ขึ้น 104%

ข่าวที่เกี่ยวข้อง