วันนี้ (6 เม.ย.2568) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า เรื่องการขึ้นภาษีของทรัมป์ เป็นปัญหาใหญ่ที่จะกระทบทุกภาคส่วนของประเทศไทย ทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรม ซึ่งจะส่งผลรุนแรงต่อรายได้ของธุรกิจทั้งขนาดเล็ก ขนาดขนาดใหญ่ และอาจจะกระทบ GDP สูงถึง 1.2 % ที่ซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่กำลังย่ำแย่อยู่แล้ว อาจจะต้องเข้าสู่สภาวะทดถอย ประชาชนจะยากจนลงอีกมาก ขณะที่หนี้สินทั้งของประชาชน และของประเทศจะขยายตัวเพิ่มขึ้น
คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องเปลี่ยนวิกฤต เป็นโอกาสระดมองค์ความรู้ของทุกภาคส่วนภายในประเทศ ทั้งภาคเอกชน ทั้งสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคารไทย สภา SMEs ตัวแทนเกษตรกร นักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการ ฯลฯ รวมทั้ง สส.ฝ่ายค้าน และ สว.มาร่วมแก้ปัญหา
ควรจะแสวงหาความร่วมมือกับกลุ่มประเทศกลุ่มอาเซียน ที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของทรัมป์ เช่นกัน โดยใช้เวทีอาเซียน ในการหารือเร่งด่วนกับมิตรประเทศในอาเซียน เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการเสนอข้อต่อรองไปยังสหรัฐอเมริกา โดยใช้พลังของอาเซียน ในการต่อรอง
ขอเสนอให้รัฐบาลได้ใช้รัฐสภา ในสัปดาห์หน้าเป็นเวทีระดมความคิดเห็น เพราะเป็นสัปดาห์สุดท้ายของการประชุมสภาฯ นำเรื่องการขึ้นภาษี Reciprocal Tariff ของ ประธานาธิบดีทรัมป์ มาพูดคุยกันก่อน แทนการเร่งรัดนำเรื่องเอ็นเทอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ ซึ่งยังไม่มีความชัดเจน เรื่องมาตรการปกป้องความเสียหายต่อคนไทยและสังคมไทย จนหลายฝ่ายกังวลว่าได้ไม่คุ้มเสีย
นอกจากนั้นก็ยังมีความเห็นแย้ง จากกลุ่มผู้นำทางสังคมหลากหลายองค์กร ที่รัฐบาลควรจะใช้เวลาในระหว่างปิดสมัยประชุมสภา ปรึกษาหารือกับองค์กรต่าง ๆ นำไปปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย และที่สำคัญที่สุด ควรจะทำประชามติ เปิดโอกาสให้ประชาชนเจ้าของประเทศ เป็นผู้ตัดสินใจต่อโครงการที่มีความเสี่ยงต่ออนาคตของคนไทยอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้
ดังนั้นรัฐบาลต้องทบทวนการทำงาน ลำดับความสำคัญว่า อะไรคือปัญหาเร่งด่วน ซึ่งกฎหมายเอนเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ถ้าเทียบกับเรื่องความเสียหายจากการขึ้นภาษีของทรัมป์ที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย โดยประเทศไทยต้องเร่งเจรจาแก้ไข และหามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและเกษตรกรไทย โดยด่วนที่สุด
อ่านข่าว : “3 อยู่” เพื่อรับมือสงครามการค้า
ชาวอเมริกันลุกฮือ! ประท้วง "ทรัมป์-มัสก์" กำแพงภาษีระลอกใหม่