วันนี้ (24 มี.ค.2568) นายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.พรรคประชาชน อภิปรายไม่ไว้วางใจกรณีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ และที่ดินเขากระโดง โดยย้ำประเด็นเรื่องมรดกที่ดินอันไพน์ของนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่สามารถซื้อขายได้ และครอบครัวตระกูลชินวัตรไม่ยอมคืนที่ดินให้กับวัด แต่ใช้อำนาจฝ่าฝืนความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา จนเรื่องเข้าสู่คดีฟ้องร้อง
และท้ายที่สุดตระกูลชินวัตรได้รับประโยชน์โดยไม่ถูกเพิกถอนรายการจดทะเบียน ตามคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน และชี้ว่านายกรัฐมนตรีต้องทราบดีว่าที่ดินบริษัทอัลไพน์มีปัญหา จะต้องคืนที่ดินให้กับวัด แต่จนถึงทุกวันนี้ตอนนี้ กลับพบว่ามีขบวนการที่จะทำให้ที่ดินเป็นของตนเองแล้วในท้ายที่สุดถูกนำมาเป็นเกมการต่อรองกับคนในรัฐบาลปัจจุบันกับกรณีที่ดินเขากระโดง จนเกิดปัญหาไม่ลงรอยในพรรคร่วมรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย โดยเห็นว่านายกรัฐมนตรีเห็นผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม

ขณะที่นายสุธรรม จริตงาม สส.พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ในประเด็นความซื่อสัตย์สุจริต มีพฤติการณ์เอาเปรียบประชาชน และสังคม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและครอบครัว โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ จึงเป็นบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติและความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
โดยอ้างจากพฤติการณ์ของนายกรัฐมนตรี ที่ได้หากินในที่ดินธรณีสงฆ์ซึ่งเป็นสมบัติของวัดธรรมิการาม ด้วยการถือหุ้นในบริษัทอัลไพน์กอล์ฟ แอนด์สปอร์ตคลับ จำกัด ซึ่งศาลตัดสินแล้ว ควรถึงเวลาที่จะคืนที่ดินให้วัดตามเจตนารมณ์ของผู้ยกที่ดินให้กับทางวัด
ทั้งนี้ในฐานะชาวพุทธไม่สบายใจที่มีผู้มาหากินกับทรัพย์สินของทางวัด และถือว่าการกระทำของนายกรัฐมนตรีเป็นการขัดกันของผลประโยชน์ เพราะหลังจากรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วต้องถือหมวก 2 ใบ คืนในฐานะ นายกรัฐมนตรี และลูกที่เพิ่งโอนหุ้นให้กับมารดาของตนเอง
อ่านข่าว : กรมที่ดิน ชี้ นายกฯไมได้แทรกแซงปมที่ดินอัลไพน์
พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทนี้มีการโอนหุ้นกันไปมาภายในครอบครัว โดยไม่ทราบว่าพฤติกรรมของครอบครัวนี้ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ทั้งที่ร่ำรวยมีทรัพย์สินเป็นหมื่นล้านบาท เพราะเหตุใดจึงหวงแหนที่แปลงนี้ จึงถือเป็นเรื่องส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีที่ต้องชี้แจงด้วยตนเอง เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องศีลธรรมและความซื่อสัตย์ แต่ไม่อยากต่อว่ามากเพราะตอนที่นายกรัฐมนตรีถือหุ้นบริษัทอัลไพน์ยังเด็ก และไม่ทราบเรื่องราวภายในครอบครัวนี้ แต่ก็ย่อมปฏิเสธพฤติกรรมในอดีตไม่ได้ จึงถือว่าการกระทำของนายกรัฐมนตรีขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวมคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี ของประเทศไทยไม่ควรมีพฤติกรรมเช่นนี้ถือว่าเสื่อมเสียเกียรติ
นายสุธรรมยังระบุว่าหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ หากนายกรัฐมนตรีตัดสินใจยุบสภาหรือลาออก ควรจะพูดคุยกับคนในครอบครัว เพื่อคืนที่ดินแปลงนี้ให้กับวัดเพื่อลบล้างสิ่งที่ทำไว้กับทางวัดมายาวนาน
อ่านข่าว :
"วิโรจน์" ตั้งคำถามนายกฯ หนีภาษีเอาเปรียบปชช. ออกตั๋ว PN ให้เครือญาติ
ศึกซักฟอกเดือด "ประวิตร" จวกนายกฯ ไม่อาจไว้วางใจ - อิ๊งค์ ตอบ ไม่เป็นความจริง
"เท้ง เปิดศึกซักฟอก "ดีลแลกประเทศครั้งนี้ มีคนไม่ถึง 1% ที่ได้รับผลประโยชน์"