ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ปธ.TDRI ห่วงผุด “บ่อนกาสิโน” รัฐบาลไม่ชัดแนวทาง แนะทบทวน

เศรษฐกิจ
17 มี.ค. 68
14:19
212
Logo Thai PBS
ปธ.TDRI ห่วงผุด “บ่อนกาสิโน”  รัฐบาลไม่ชัดแนวทาง แนะทบทวน
อ่านให้ฟัง
11:16อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
"สมเกียรติ" ประธานทีดีอาร์ไอ ห่วงรัฐบาลผุดบ่อนกาสิโนในไทย ไม่ชัดเจนแนวทางดำเนินการผลได้-เสียที่ไทยได้รับ แนะรัฐบาลทบทวนโครงการ เริ่มจากศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ควรระบุจำนวนใบอนุญาตล่วงหน้า เปิดประมูลแบบแข่งขันแทนการใช้วิธีแบบประกวดนางาม โปร่งใสกว่า

วันนี้ ( 17 มี.ค.2568) ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Somkiat Tangkitvanich แสดงความเห็นเรื่อง Entertainment Complex ว่า รัฐบาลกำลังเร่งผลักดันร่างกฎหมายการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ซึ่งผมขอเรียกง่ายๆ ว่า “ร่างกฎหมายกาสิโน” เพราะแม้รัฐบาลจะพยายามบอกว่ากาสิโนเป็นเพียงส่วนเดียวของสถานบันเทิงครบวงจร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้แน่นอนว่าธุรกิจกาสิโนเป็นส่วนสำคัญที่สุดซึ่งขาดไม่ได้ในโครงการสถานบันเทิงครบวงจรดังกล่าว

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ

ประเด็นที่ผมเป็นห่วงก็คือ รัฐบาลพยายามผลักดันให้เกิดบ่อนกาสิโนขึ้นในประเทศไทย ในขณะที่ยังไม่มีข้อสรุปต่อแนวทางการดำเนินการในหลายเรื่องที่มีความสำคัญมาก ทั้งเรื่องการหารายได้จากธุรกิจกาสิโน และการป้องกันปัญหาสังคมต่างๆ

ประเด็นที่ถกเถียงกันก่อนหน้านี้ คือ การกำหนดให้คนไทยที่จะเข้าไปเล่นกาสิโนต้องมีบัญชีเงินฝากไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาทหรือไม่ ซึ่งรัฐบาลมีท่าทีกลับไปกลับมาในการแถลงแต่ละครั้งสะท้อนถึงปัญหาของการทำโครงการที่มีความอ่อนไหวมาก ในขณะที่ยังไม่ตกผลึกทางความคิด

ต่อให้เรายอมรับว่า การเปิดกาสิโนในประเทศไทยอาจก่อให้เกิดประโยชน์ในบางด้าน เช่น สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าประเทศเพิ่ม ลดเงินทุนไหลออกจากการที่คนไทยออกไปเล่นพนันในต่างประเทศ และสร้างรายได้ให้แก่รัฐ การที่เราจะสามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์ดังกล่าว

โดยไม่สร้างปัญหาจากการก่ออาชญากรรมและการฟอกเงิน การติดพนันของประชาชนตลอดจนปัญหาสังคมต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามมาได้นั้น รัฐบาลก็จะต้องออกแบบโครงการนี้อย่างเหมาะสมบนพื้นฐานของการศึกษามาเป็นอย่างดี

 

ปัญหาใหญ่ที่สุดของการจัดทำร่างกฎหมายกาสิโนของรัฐบาลคือ ยกร่างกฎหมายขึ้นมาโดยไม่มีแม้กระทั่งสิ่งที่เรียกว่า “รายงานการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ” (Feasibility Study) เลย ทั้งที่โครงการนี้เกี่ยวข้องกับเม็ดเงินมหาศาล และมีความเสี่ยงจะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมายดังที่กล่าวมาข้างต้น

เอกสารฉบับเดียวที่เปิดเผยต่อสาธารณะซึ่งดูใกล้เคียงกับรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการมากที่สุดคือ “รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ” ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง เป็นประธานคณะกรรมาธิการ แต่รายงานดังกล่าวก็ยังไม่ใกล้เคียงกับ Feasibility Study ที่ได้มาตรฐานเลย

น่าตกใจมากที่รายงานดังกล่าวไม่ได้มีการวิเคราะห์ตลาดกาสิโนในภูมิภาคอย่างเป็นระบบเลย ไม่ว่าจะเป็นขนาดตลาดในภูมิภาค จุดอ่อน-จุดแข็งและตำแหน่ง (Positioning) ของประเทศต่างๆ ที่มีบริการกาสิโน และพฤติกรรมของนักพนันกลุ่มต่างๆ ทั้งที่ประเทศไทยจะต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างประเทศแข่งกับกาสิโนหลายแห่งในภูมิภาคที่เปิดบริการอยู่แล้ว และที่กำลังจะขยายขนาดขึ้นอีกในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์หรือญี่ปุ่น

เมื่ออ่านรายงานของคณะกรรมาธิการดังกล่าว ผมไม่เห็นผลการศึกษาและการวิเคราะห์ตลาดธุรกิจกาสิโนในภูมิภาคในเชิงลึกเลย ไม่ว่าจะเป็นในมาเก๊า สิงคโปร์ มาเลเซีย และประเทศเพื่อนบ้าน ที่น่าตกใจก็คือ แม้รายงานดังกล่าวจะมีความเห็นของหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐ แต่ก็ไม่มีแหล่งข้อมูลและเอกสารอ้างอิงใดที่เป็นภาษาต่างประเทศเลยแม้แต่ฉบับเดียว ยกเว้น Cambridge Dictionary ซึ่งใช้อ้างอิงในการให้ความหมายของคำว่า Entertainment และ Complex เท่านั้น ซึ่งหมายความว่า ไทยจะเปิดกาสิโนโดยไม่ได้ศึกษาตลาดอย่างจริงจังเลย

เมื่อไม่มีการศึกษาและการวิเคราะห์ตลาดธุรกิจกาสิโนในเชิงลึกแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า รายงานดังกล่าวไม่มีข้อสรุปว่า ประเทศไทยจะทำกาสิโนในลักษณะไหน เช่น จะทำกาสิโนระดับสูงเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวรายได้สูงจากต่างประเทศ หรือกาสิโนระดับมวลชนเพื่อลดการพนันผิดกฎหมายในประเทศ และจะมีผู้ประกอบการกาสิโนกี่รายในประเทศไทย จะสร้างรายได้ให้รัฐต่อปีเท่าใดและมาจากแหล่งใด (นอกจากกล่าวลอยๆ ว่าจะทำให้เกิดรายได้ปีละหลายหมื่นหรือแม้กระทั่งหลายแสนล้านบาท) และจะใช้มาตรการใดเพื่อลดผลกระทบในด้านลบหลายด้านที่เสี่ยงจะเกิดขึ้น เป็นต้น

ที่น่าตกใจมากก็คือ แม้ไม่มีการศึกษาว่า ตลาดกาสิโนของไทยจะมีขนาดใหญ่เพียงใด และควรมีผู้ประกอบการกาสิโนกี่รายที่ได้รับใบอนุญาตให้แข่งขันกัน ร่างกฎหมายกาสิโนของรัฐบาลกลับสามารถกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตได้ โดยกำหนดในอัตราคงที่ไม่เกิน 5 พันล้านบาทสำหรับอายุใบอนุญาต 30 ปี บวกกับค่าธรรมเนียมรายปีอีกปีละไม่เกิน 1 พันล้านบาท

ดูเผินๆ ราคาใบอนุญาตที่กำหนดไว้อาจจะมาก เมื่อถ้าคิดดีๆ ก็จะพบความจริงที่ตรงกันข้าม เพราะค่าธรรมเนียมใบอนุญาตแต่ละใบต่อปีจะอยู่ประมาณ 1,167 ล้านบาท ซึ่งน่าจะต่ำมากเมื่อเทียบกับโอกาสในการแสวงหากำไรมหาศาลของผู้ได้ใบอนุญาต นอกจากนี้ในร่างกฎหมายของรัฐบาลไม่มีข้อกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตต้องแบ่งส่วนแบ่งรายได้เข้ารัฐ หรือที่เรียกว่า “ภาษีกาสิโน” เหมือนในต่างประเทศ

เช่น สิงคโปร์ (แบ่งรายได้ 11-22% จากรายได้นักพนันทั่วไป และ 8-12% จากรายได้นักพนัน VIP ทำให้รัฐบาลได้รายได้ปีละเกือบ 3 หมื่นล้านบาท) ญี่ปุ่น (30% จากรายได้พนัน) หรือมาเก๊า (40% จากรายได้พนัน ทำให้รัฐบาลได้รายได้ปีละหลายแสนล้านบาท) ทั้งหมดนี้หมายความว่า หากผู้ประกอบการกาสิโนได้รายได้มาก ก็จะได้รายได้ไปเกือบหมดโดยแทบไม่ต้องแบ่งให้รัฐบาลเลย

ทั้งหมดนี้แปลว่า หากไทยจะยอมให้มีกาสิโน 3-5 แห่ง รายได้จากกาสิโนที่จะเข้ารัฐ ก็จะอยู่ในระดับไม่เกินปีละ 3.3-5.5 พันล้านบาทเท่านั้น และต่อให้อ้างว่าจะสร้างรายได้ให้แก่การท่องเที่ยวในรูปแบบอื่นๆ ของประเทศด้วย ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มาเที่ยวไทย ก็ตกปีละ 40 ล้านคนแล้ว นักท่องเที่ยวจากกาสิโนจะเพิ่มตัวเลขได้อีกเท่าไรกัน? ผลตอบแทนระดับนี้คุ้มไหมกับการที่เราต้องมาป้องกันและแก้ไขปัญหามากมายที่จะตามมา?

ที่สำคัญร่างกฎหมายกาสิโนของรัฐบาลกำหนดให้จัดสรรใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบการโดยใช้วิธี “ประกวดนางงาม” (Beauty Contest) ซึ่งหมายถึงคัดเลือกโดยให้คะแนนหลายๆ ด้านตามหลักเกณฑ์ที่ฝ่ายการเมืองจะกำหนดขึ้นเหมือนการตัดสินประกวดนางงาม แทนที่จะแข่งขันกันด้วยการประมูล ซึ่งมีความโปร่งใสมากกว่า

เพราะผู้ที่จะได้ใบอนุญาตจะต้องเสนอผลตอบแทนสูงที่สุดให้รัฐ ในทางตรงกันข้ามการใช้วิธี “ประกวดนางงาม” จะเสี่ยงต่อการที่ฝ่ายการเมืองสามารถใช้ดุลพินิจในการออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบการบางราย และเกิด “เงินทอน” ซึ่งทำให้ประเทศเสียประโยชน์มหาศาล

นอกจากนี้ ร่างกฎหมายยังไม่มีมาตรการป้องกันการฟอกเงินซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของกาสิโนและแหล่งพนันทั่วโลกมาโดยตลอด แม้กระทั่งมาเก๊า ซึ่งก่อปัญหาจนทำให้รัฐบาลจีนในปัจจุบันพยายามเข้าไปควบคุมการฟอกเงินและการใช้เป็นช่องทางขนเงินออกจากประเทศ มาตรการเดียวที่มีในร่างกฎหมายก็คือให้เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เป็นผู้แทนในคณะกรรมการนโยบายและคณะกรรมการบริหารเท่านั้น

ผมจึงอยากให้รัฐบาลทบทวนโครงการนี้ โดยเริ่มจากการศึกษาความเป็นไปได้ที่ได้มาตรฐาน และถ้าพบว่าได้ผลประโยชน์มากกว่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจริง ก็ควรประกาศจำนวนใบอนุญาตที่จะออกก่อนล่วงหน้า แล้วออกใบอนุญาตด้วยวิธีการประมูลแข่งขันกันจากผู้ขอใบอนุญาตที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ครบถ้วน

ทั้งนี้โดยมีอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตขั้นต่ำและเพิ่มให้มี “ภาษีกาสิโน” เป็นเปอร์เซ็นต์ของรายได้ด้วย โดยผู้ที่เสนอผลตอบแทนให้แก่รัฐสูงที่สุดจะได้ใบอนุญาต เมื่อรัฐบาลจะเอาร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภา ผมยังอยากเห็นการนำเสนอแนวทางอย่างชัดเจนในการป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันไม่ให้คนไทยติดพนัน การป้องกันอาชญากรรมและการฟอกเงินตลอดจนการลดผลกระทบจากปัญหาสังคมต่างๆ

อย่าคิดทำโครงการใหญ่ที่มีความอ่อนไหวทางสังคม โดยอ้างอิงข้อมูลจากพจนานุกรม เพื่อหารายได้เข้ารัฐไม่กี่พันล้านบาทต่อปี และเปิดช่องว่างให้มีการใช้ดุลพินิจมากมายของฝ่ายการเมือง แล้วทิ้งปัญหาใหญ่ให้ประเทศไทยเลยครับ

 อ่านข่าว:

"เงินบาท" ซื้อขาย 33.40-34 จับตาประชุมเฟดสัปดาห์นี้

“เศรษฐกิจฟื้นช้า” สัญญาณเตือน ฉุดความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดครั้งแรก รอบ 5 เดือน

เงินเฟ้อสหรัฐฯ ต่ำกว่าคาด ดัน “ทองคำ”ปรับตัวขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง