เคยคิดไหมว่า "เลือด" หรือ "โลหิต" ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเรานั้นพิเศษแค่ไหน ไม่ใช่แค่หล่อเลี้ยงชีวิตของเราเอง แต่ยังสามารถส่งต่อเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่นได้ และที่สำคัญยังไม่มีสิ่งใดทดแทนได้
ทุกวินาทีมีผู้ป่วยมากมายที่ต้องการเลือดเพื่อการรักษา ไม่ว่าจะเป็นผู้ประสบอุบัติเหตุ ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด หรือผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับเลือดโดยตรง แม้ว่าจะมีผู้บริจาคเลือดอยู่ทุกวัน แต่เชื่อไหมแต่ปริมาณเลือดที่ได้รับมักไม่เพียงพอต่อความต้องการของโรงพยาบาล

"เลือด" ประกอบด้วยอะไรบ้าง
"เลือด" ของเหลวสีแดงที่ไหลเวียนอยู่ภายในหลอดเลือดในร่างกาย ถูกสูบฉีดโดยการทำงานของ "หัวใจ" ส่วนที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือดคือ "ไขกระดูก" โดยโลหิตแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ
ส่วนแรกคือ "เม็ดเลือด" ที่ประกอบด้วย 3 ชนิด ได้แก่ เม็ดเลือดแดง, เม็ดเลือดขาว, เกล็ดเลือด ส่วนที่ 2 คือ "พลาสมา" คือส่วนที่เป็นของเหลวที่ช่วยให้เม็ดเลือดลอยตัว มีลักษณะเป็นน้ำสีเหลืองใส ของโลหิตที่ทำให้เม็ดโลหิตทั้งหลายลอยตัว มีลักษณะเป็นน้ำสีเหลือง
เมื่อร่างกายเสียเลือด ไม่ว่าจะเป็นจากอุบัติเหตุ การผ่าตัด หรือโรคที่จำเป็นต้องรักษาด้วยเลือด จึงจำเป็นต้องรับบริจาคเลือดจากคนหนึ่งนำไปให้อีกคนหนึ่ง เพื่อช่วยเหลือชีวิตให้ทันท่วงที
เลือดไม่สามารถผลิตโดยวิธีอื่นได้ ข้อมูลของสภากาชาดไทย ระบุว่า ร้อยละ 77 ของเลือดที่ได้รับจากการบริจาค ถูกนำไปช่วยผู้ป่วยที่สูญเสียเลือดเฉียบพลัน เช่น ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุ, ผู้เข้ารับการผ่าตัด อีกร้อยละ 23 เป็นการนำเลือดไปใช้เฉพาะโรคเลือด เช่น โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ฮีโมฟีเลีย รวมถึงมะเร็งชนิดต่าง ๆ
ผู้ที่เสียเลือดมาก อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต จึงจำเป็นต้องได้รับเลือดให้ทันท่วงที
"เลือด" สำคัญต่อ "ผู้ป่วย" และ "โรงพยาบาล" อย่างไร
"เลือด" สำคัญมากต่อ "โรงพยาบาล" นั้นเพราะต้องใช้ในการรักษาผู้ป่วยในหลายสถานการณ์ โดยเฉพาะในกรณีฉุกเฉิน หรือ การผ่าตัด ที่ต้องใช้เลือดอย่างเร่งด่วน ลองสรุปให้ดังนี้
- ใช้รักษาผู้ป่วยที่เสียเลือดจากอุบัติเหตุ บาดแผลฉกรรจ์ เสียเลือดจำนวนมาก ต้องได้รับเลือดทดแทนอย่างเร่งด่วน เพื่อรักษาชีวิตและป้องกันภาวะช็อกจากการเสียเลือด
- ใช้ในการผ่าตัด เช่น การผ่าตัดหัวใจ การผ่าตัดรักษาโรคมะเร็ง จำเป็นต้องใช้เลือดจำนวนมาก หากไม่มีเลือดสำรองพอ อาจทำให้ต้องเลื่อนการผ่าตัดออกไปซึ่งเสี่ยงต่อชีวิตของผู้ป่วย
- ใช้รักษาผู้ป่วยที่ต้องการส่วนประกอบของเลือด "เม็ดเลือดแดง" ใช้รักษาผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย เสียเลือดจาก เช่น อุบัติเหตุ ผ่าตัด การคลอด ส่วน "เกล็ดเลือด" จำเป็นสำหรับผู้ป่วยไข้เลือดออก และผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ขณะที่ "พลาสมา" ใช้รักษาทดแทนการขาดโปรตีน สำหรับการแข็งตัวของเลือด
- สำรองเลือดสำหรับกรณีฉุกเฉินและภัยพิบัติ โรงพยาบาลต้องมีเลือดสำรองไว้เผื่อสถานการณ์ไม่คาดคิด เช่น ภัยพิบัติ อุบัติเหตุหมู่ หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินทางการแพทย์ หากเกิดเหตุการณ์ที่มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก แต่เลือดไม่เพียงพอ อาจทำให้หลายชีวิตตกอยู่ในอันตราย
รศ.พญ.ดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เคยอธิบายไว้ว่า โลหิตสำรองถือเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาผู้ป่วยในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การผ่าตัดที่ต้องใช้โลหิตสำรอง 2-3 ยูนิตต่อครั้ง หรือผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงต้องใช้โลหิต 5-10 ยูนิตต่อครั้ง
นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคเลือด เช่น โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย และโรคเกล็ดเลือดต่ำ จำเป็นต้องใช้โลหิตในการรักษาอย่างต่อเนื่อง หากขาดโลหิตอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้

ทำไมเลือดถึงไม่เพียงพอ
- ความต้องการสูงขึ้น จำนวนผู้ป่วยที่ต้องใช้เลือดเพิ่มขึ้น เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง โรคเลือด และการผ่าตัดใหญ่
- ช่วงเวลาที่มีผู้บริจาคลดลง วันหยุดยาวหรือเทศกาลสำคัญมักทำให้จำนวนผู้บริจาคลดลง ขณะที่อุบัติเหตุเกิดขึ้นมากขึ้น
- บางกรุ๊ปเลือดหายาก เช่น กรุ๊ป O ลบ หรือ AB ลบ ที่มีผู้บริจาคน้อย แต่จำเป็นต้องมีสำรองในกรณีฉุกเฉิน
ความต้องการโลหิต ปัจจุบันศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ต้องจัดหาโลหิตให้ได้วันละ 1,800-2,000 ยูนิต เดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 58,000 ยูนิต จึงจะเพียงพอจ่ายให้กับผู้ป่วย ตามโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ โดยแบ่งเป็น หมู่โลหิตที่จำเป็นต้องจัดหาโลหิตเฉลี่ยในแต่ละวัน ดังนี้
หมู่ A วันละ 500 ยูนิต
หมู่ B วันละ 550 ยูนิต
หมู่ O วันละ 800 ยูนิต
หมู่ AB วันละ 150 ยูนิต
อ่านข่าว ไขรหัสลับในกระแสเลือด จำเป็นไหมที่ต้องรู้จักกรุ๊ปเลือดตัวเอง ?

ความต้องการโลหิตสำหรับผู้ป่วย ( ประจำวันที่ 11 มี.ค. 2568) ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
ความต้องการโลหิตสำหรับผู้ป่วย ( ประจำวันที่ 11 มี.ค. 2568) ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
เหตุผล ทำไมจึงต้องบริจาคเลือด
ร่างกายของแต่ละคนมีโลหิตอยู่ประมาณ 17-18 แก้วน้ำ แต่ในความเป็นจริง เราใช้เพียง 15-16 แก้ว เท่านั้น ส่วนที่เหลือสามารถแบ่งปันให้ผู้อื่นได้ โดยสามารถบริจาคโลหิตได้ทุก 3 เดือน
เมื่อบริจาคโลหิต ไขกระดูกจะทำหน้าที่สร้างเม็ดโลหิตใหม่ขึ้นมาทดแทน ทำให้มีปริมาณโลหิตในร่างกายเท่าเดิม ทำให้ปริมาณโลหิตในร่างกายกลับมาเท่าเดิม หากไม่ได้บริจาคร่างกายจะขับเม็ดโลหิตที่สลายตัวเพราะหมดอายุ
กระบวนการบริจาคโลหิตตั้งแต่ลงทะเบียนจนเสร็จสิ้นใช้เวลาประมาณ 20 นาที ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเลือกเจาะโลหิตที่เส้นโลหิตดำบริเวณแขน แล้วเก็บโลหิตบรรจุในถุงพลาสติก (BLOOD BAG) ประมาณ 350-450 มิลลิลิตร (ซี.ซี.) ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของผู้บริจาค ซึ่งสามารถนำไปช่วยชีวิตผู้ป่วยได้อีกมากมาย
- การบริจาคโลหิตเป็นเรื่องจำเป็น และยังไม่มีสิ่งใดทดแทนได้
- ผู้ป่วยต้องการโลหิตทุกวินาที
- ได้รู้ข้อมูลสุขภาพของตัวเอง
- ได้รู้ระบบหมู่โลหิต ทั้งระบบ ABO และ Rh
- ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และทำให้มีความสุข ส่งผลให้สุขภาพดี
บริจาคโลหิต 1 ถุง ช่วยผู้ป่วยได้อย่างน้อย 3 ชีวิต
ใครบริจาคเลือดได้บ้าง
เป็นผู้ให้ได้ตั้งแต่อายุ 17 ปี ต่อเนื่องไปจนถึงอายุ 70 ปี
- การบริจาคเลือดครั้งแรกผู้บริจาคต้องอายุไม่เกิน 60 ปี
- ผู้บริจาคที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะได้รับการตรวจระดับธาตุเหล็กสะสมในเลือด ทุกครั้งที่บริจาคโลหิต โดยผู้บริจาคเลือดที่มีอายุ 65-70 ปี บริจาคได้ทุก 6 เดือน
- ผู้บริจาคโลหิตในช่วงอายุ 60 - 70 ปี ที่บริจาคโลหิตไม่สม่ำเสมอ มีการหยุดบริจาคทิ้งช่วงเกิน 1 ปี ให้เจาะเลือดตรวจตามที่ระบุไว้และนัดให้ผู้บริจาคมาฟังผลเพื่อพิจารณาการรับบริจาคโลหิต ภายใน 1-2 สัปดาห์ และต้องเจาะเลือดจากปลายนิ้วตรวจฮีโมโกลบินซ้ำตามขั้นตอนการรับบริจาคโลหิต ในวันที่บริจาคโลหิต
พร้อมแค่ไหน ก่อนบริจาคเลือด
- อายุ 17-70 ปี (ครั้งแรกอายุไม่เกิน 60 ปี)
- น้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป
- นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ 5 ชั่วโมงขึ้นไป
- รู้สึกสบายดี สุขภาพแข็งแรง พร้อมบริจาคโลหิต
- ไม่อยู่ระหว่างรับประทานยา หรือสมุนไพรบางอย่าง หากรับประทานให้แจ้งเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจคัดกรองสุขภาพทุกครั้ง
- ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ
- รับประทานอาหารประจำมื้อก่อนมาบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ แกงกะทิ ก่อนมาบริจาคโลหิต 6 ชั่วโมง
- ดื่มน้ำ 300-500 ซีซี ก่อนบริจาคโลหิต 30 นาที เพื่อให้โลหิตไหลเวียนดี ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนทั้งก่อนและหลังบริจาคโลหิต
- งดสูบบุหรี่ ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสารควบคุมที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาท ทั้งก่อนและหลังบริจาคโลหิต 24 ชั่วโมง

โรคประจำตัวบริจาคเลือดได้หรือไม่
ข้อมูลศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย สำหรับผู้ที่บริจาคได้ เช่นเบาหวาน ควบคุมได้ด้วยการรัปทานยา ต้องไม่มีการฉีดอินซูลิน, ไม่มีโรคแทรกซ้อน, ความดันโลหิตสูง มีระดับความดันโลหิตตามเกณฑ์ และไม่มีโรคแทรกซ้อน, ไขมันในเลือดสูง ต้องไม่มีภาวะแทรกซ้อน, โรคไทรอยด์ ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ปกติ และไม่ต้องปรับยาภายในช่วง 1 เดือน, โรคซึมเศร้า อารมณ์ปกติ และไม่ต้องปรับยามรช่วง 1 เดือน
ส่วนคนที่ต้องรอก่อน นั้นคือ โรคไทรอยด์ ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ปกติ และต้องหยุดยามาแล้วมากกว่า 2 ปี, วัณโรค รอรักษาหาย กินยาครบคอร์สและต้องหยุดยามาแล้วมากกว่า 2 ปี
ส่วนคนที่ต้องงดถาวร คือ โรคหัวใจ และ โรคมะเร็งทุกชนิด
รับวัคซีนป้องกันโรคได้ แต่ต้องเว้น ก่อนมาบริจาค
เว้น 24 ชั่วโมง ดังนี้ วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (แผลต้องหายดีแล้ว), วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก (แผลต้องหายดีแล้ว), วัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปาดมดลูก, วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่, วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ
เว้น 4 สัปดาห์ ดังนี้ วัคซีนป้องกันโรคหัด, วัคซีนป้องกันโรคคางทูม, วัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมัน, วัคซีนป้องกันโรคงูสวัด
หลากมุมมองคนที่บริจาคเลือด
หลายคนที่บริจาคเลือดมักจะมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป คนที่บริจาคเลือดมักมีทัศนคติที่ดีต่อการช่วยเหลือผู้อื่น และแม้จะมีความกลัวหรือกังวลอยู่บ้าง แต่หลายคนก็ยังเลือกที่จะทำเพราะเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองสามารถมอบให้แก่ผู้อื่นได้
- ความรู้สึกภูมิใจ หลายคนรู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือชีวิตผู้อื่น แม้จะไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่ก็ถือเป็นการทำบุญที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคม
- ความเสียสละและจิตอาสา บางคนมองว่าการบริจาคเลือดเป็นเรื่องของความเสียสละ เพราะเลือดเป็นสิ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นมาใหม่ได้ และการให้เลือดสามารถช่วยรักษาผู้ป่วยได้
- มีบางคนที่อยากบริจาคแต่กังวลเรื่องความเจ็บปวด ผลกระทบต่อร่างกาย หรือแม้แต่ขั้นตอนการบริจาคว่าอาจจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แต่เมื่อได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง หลายคนก็กล้าที่จะบริจาค
- บางคนบริจาคเลือดเพราะเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น หรืออาจใช้เป็นโอกาสในการตรวจสุขภาพไปในตัว
บางคนอาจได้รับแรงบันดาลใจจากคนรอบตัว เช่น ครอบครัว เพื่อน หรือองค์กรที่สนับสนุนการบริจาคเลือด รวมถึงบางครั้งมีของที่ระลึกหรือสิทธิประโยชน์เป็นแรงจูงใจ แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุจากอะไรของแต่ละคน การให้คือ สิ่งที่ดี และทำให้ทั้งผู้ให้และผู้รับมีความสุขได้เช่นกัน
อ่านข่าว : อุทยานฯ ทับลาน เร่งช่วย "กระทิงตาอักเสบ" เดินวนกลางป่า
วันแรกทดลองเปิด 1 ช่องจราจร ฝั่งเข้าทางด่วนเฉลิมมหานคร ด่านดาวคะนอง