ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

รู้ก่อน ปลอดภัยกว่า ฝึกเด็กเอาตัวรอด "จมน้ำ" ปิดเทอมนี้ต้องรู้

สังคม
12 มี.ค. 68
14:49
598
Logo Thai PBS
รู้ก่อน ปลอดภัยกว่า ฝึกเด็กเอาตัวรอด "จมน้ำ" ปิดเทอมนี้ต้องรู้
อ่านให้ฟัง
10:44อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

ปิดเทอม 2568 เล่นน้ำให้สนุก และปลอดภัย การจมน้ำเป็นภัยเงียบที่เกิดขึ้นไวมาก แค่ไม่กี่วินาที เด็กอาจตกน้ำโดยไม่มีเสียงร้องให้ช่วยวันนี้มีวิธีมาแนะนำ ที่ช่วยให้เด็กห่างไกลอันตรายจากการ "จมน้ำ"

เด็กจมน้ำช่วงปิดเทอม ปี 67 คร่าชีวิต 173 คน 

ข้อมูลกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี 2567 มีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิตในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม ซึ่งตรงกับช่วงปิดเทอมถึง 173 คน หรือเฉลี่ยเกือบ 2 คนต่อวัน เฉพาะเดือนมีนาคม มีการจมน้ำมากที่สุด 70 คน รองลงมา คือ เมษายน 58 คน และ พฤษภาคม 45 คน

ข้อมูลการเสียชีวิตดังกล่าว พบว่าเป็นกลุ่มอายุ 10 - 14 ปี เสียชีวิตมากที่สุด ร้อยละ 39.3 รองลงมา คือ อายุ 5 - 9 ปี ร้อยละ 32.4 และอายุ 0 - 4 ปี ร้อยละ 28.3 โดย "เพศชาย" จมน้ำสูงกว่า "เพศหญิง" ถึง 2.8 เท่าตัว โดยจังหวัดที่มีการเสียชีวิตสูงที่สุด คือ นครราชสีมา 13 คน ปัตตานี 9 คน ศรีสะเกษ และ อุดรธานี จังหวัดละ 8 คน

สถิติเหล่านี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการเฝ้าระวังและป้องกันภัยเงียบที่คร่าชีวิตเด็กทุกปี

เช็กลิสต์ 5 สถานที่เสี่ยงเด็กจมน้ำ 

จากข้อมูลระบบรายงานผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการตกน้ำ จมน้ำ (Drowning Report) ของกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค ช่วงเดือน มีนาคม - พฤษภาคม ปี 2567 พบว่า แหล่งน้ำที่พบเด็กจมน้ำมากที่สุด

  • ร้อยละ 72.3 - แหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและแหล่งน้ำตามธรรมชาติ เช่น บ่อขุด, สระน้ำ, คลอง, แม่น้ำ 
  • ร้อยละ 10.9 - เขื่อน, อ่างเก็บน้ำ, ฝาย 
  • ร้อยละ 5.8 - สระว่ายน้ำ, สวนน้ำ

ทั้งนี้ สาเหตุเกิดจาก การไปเล่นน้ำมากที่สุด ร้อยละ 72.3 รองลงมาคือ พลัดตกลื่น ร้อยละ 14.9

มาถึงตรงนี้คงเห็นแล้วว่าสถานที่ที่เด็กมีความเสี่ยงจมน้ำมากที่สุดคือที่ใด แต่ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ การขาดการดูแลจากผู้ใหญ่ ถึงร้อยละ 40.2 และ การขาดความรู้เกี่ยวกับแหล่งน้ำเสี่ยง ร้อยละ 29.7  นอกจากนี้ ขณะเกิดเหตุเด็กมากกว่าครึ่ง หรือ ร้อยละ 55.0 อยู่กับเพื่อน ขณะที่ช่วงเวลาที่เกิดเหตุสูงสุดคือ ระหว่าง 12.00 - 17.59 น. (ร้อยละ 65.1)

ที่น่าตกใจคือ เด็กเกือบทั้งหมด ร้อยละ 97.3 ไม่สวมเสื้อชูชีพ ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ผลลัพธ์ที่ตามมามักรุนแรง โดย ร้อยละ 65.1 ของเด็กที่จมน้ำเสียชีวิต และ ร้อยละ 27.5 ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ฉะนั้น การรับรู้และป้องกันปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้คือกุญแจสำคัญในการช่วยลดอัตราการจมน้ำในเด็ก

เด็กจมน้ำในช่วงปิดเทอม เรื่องเศร้าที่เกิดซ้ำซาก

ทุกปีในช่วงปิดเทอมหรือวันหยุด เรามักเห็นข่าวเศร้าเกี่ยวกับเด็กจมน้ำเสียชีวิต เด็กหลายคนออกไปเล่นน้ำกับเพื่อนใกล้บ้าน ขณะที่ผู้ปกครองต้องออกไปทำงาน หรืออยู่ภายใต้การดูแลของปู่ย่าตายาย 

หนึ่งในกรณีที่เกิดขึ้นในปี 2566 เกิดขึ้น บริเวณใต้สะพานอโยธยา ต.สำเภาล่ม อ.พระนครศรีอยุธยา เด็กชายวัย 12 ปี จมน้ำเสียชีวิตต่อหน้าน้องสาวและเพื่อนทั้งหมด 4 คน เด็กหญิงคนหนึ่งเล่าว่า วันนั้นโรงเรียนหยุด พวกเขาออกไปตกปลาใต้สะพานและชวนกันลงเล่นน้ำ พี่ชายของเธอว่ายน้ำไม่แข็งและเดินเล่นไปจุดที่น้ำลึก พยายามช่วยกันดึงขึ้นมาแต่ไม่สำเร็จ ทำให้พี่ชายจมน้ำหายไป

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กุมภาพันธ์ 2568 ที่ อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี เด็กสองพี่น้องเสียชีวิตในบ่อน้ำข้างทุ่งนา ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการถมดิน บ่อน้ำลึกถึง 4-5 เมตร พ่อของเด็กออกตามหาทั้งคืนแต่ไม่พบ จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น มีคนแจ้งว่าได้ยินเสียงเด็กเล่นน้ำบริเวณนั้น เมื่อไปดูก็พบว่าทั้งคู่จมน้ำเสียชีวิตแล้ว

พ่อของเด็กเล่าว่า ลูกชายเป็นเด็กพิเศษ และว่ายน้ำไม่เป็น คาดว่าอาจเกิดอุบัติเหตุจนพลัดตกลงไปในบ่อ น้องสาวที่เห็นเหตุการณ์รีบลงไปช่วย แต่กลับจมน้ำทั้งคู่

เหตุการณ์เหล่านี้เป็นบทเรียนที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการเฝ้าระวัง และการให้ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยทางน้ำแก่เด็ก ๆ อย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำอีก

สอนลูกให้ปลอดภัยจากการจมน้ำ  วิธีสอนเด็กให้เอาตัวรอด

ในเรื่องของการป้องกันการจมน้ำ นพ.ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ได้มีข้อแนะนำที่น่าสนใจ โดยใน "กลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี" ผู้ปกครอง/ผู้ดูแลเด็กควรดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด โดยต้องอยู่ในระยะที่มองเห็น คว้าถึงและเข้าถึง และไม่ปล่อยให้เด็กอยู่ตามลำพัง หรืออยู่กับพี่ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

ใน "กลุ่มเด็กโต" ควรสอนให้เด็กรู้กฎความปลอดภัยทางน้ำ เช่น ไม่เล่นใกล้แหล่งน้ำ ไม่เล่นน้ำคนเดียว ไม่เล่นน้ำกันเองโดยไม่มีผู้ใหญ่ไปด้วย ไม่แกล้งจมน้ำ รู้จักประเมินแหล่งน้ำเสี่ยง ใส่เสื้อชูชีพทุกครั้ง และตลอดเวลาที่ทำกิจกรรมทางน้ำหรือนั่งเรือ และหากพบเห็นคนตกน้ำ ไม่ควรกระโดดลงไปช่วย เพราะอาจจมน้ำพร้อมกันได้ ควรใช้มาตรการ "ตะโกน โยน ยื่น" คือ 

1. ตะโกน : เรียกขอความช่วยเหลือ

2. โยน : อุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวเพื่อให้คนตกน้ำเกาะจับพยุงตัว เช่น ถังแกลลอนพลาสติกเปล่าปิดฝาหรือวัสดุที่ลอยน้ำได้ 

3. ยื่น : อุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัว เช่น ไม้ เชือก เสื้อ ผ้าขาวม้า ให้คนตกน้ำจับและดึงขึ้นมาจากน้ำ

ปฐมพยาบาลเด็กจมน้ำ ต้องทำอย่างไร 

สำหรับขั้นตอนการปฐมพยาบาลเด็กจมน้ำ มาดูวิธีการช่วยเหลือเด็กจมน้ำที่ถูกต้องกัน แต่สิ่งที่ต้องมีก่อนคือ ตั้งสติ แล้วทำตามขั้นตอนดังนี้ 

1. โทร 1669 หรือ แจ้งหน่วยพยาบาลใกล้เคียงโดยเร็วที่สุด

2. วางเด็กลงบนพื้นแห้ง และแข็ง 

3. ตรวจดูว่า รู้สึกตัวหรือไม่ กรณีไม่ตอบสนอง หากไม่หายใจ ช่วยด้วยการเป่าปาก 2 ครั้ง

4. ไม่พบว่ามีชีพจร หรือไม่แน่ใจว่ามีชีพจร ให้ทำ CPR

  • วางมือขนานกับแนวกึ่งกลางหน้าอก 
  • กดหน้าอกให้ยุบไปประมาณ 1 ใน 3 ของความหนาของหน้าอก ความเร็ว 100 ครั้งต่อนาที
  • นวดหัวใจ 30 ครั้ง สลับกับการเป่าปาก 2 ครั้ง ทำไปจนกว่า ผู้ประสบภัยจะรู้สึกตัวและหายใจได้เอง 

5.จับผู้ป่วนนอนตะแคงข้าง ศีรษะหงายไปข้างหลังเพื่อให้น้ำไหลออกทางปาก ใช้ผ้าห่มคลุมผู้ป่วยเพื่อให้เกิดความอบอุ่นงดน้ำและอาหาร และนำส่งโรงพยาบาลทุกราย 

ทั้งนี้ หลังจากช่วยคนจมน้ำขึ้นมาแล้ว ห้ามจับอุ้มพาดบ่า หรือห้อยหัว หรือกดท้องเพื่อกระแทกเอาน้ำออก ไม่มีความจำเป็น และอาจก่อให้เกิดผลเสีย เพราะคนจมน้ำจะอาเจียน และทำให้สำลัก อีกทั้งยังทำให้การช่วยเหลือเด็กช้าขึ้นไปอีก 

ส่วน "การเป่าปาก" ยังจำเป็นสำหรับผู้ที่จมน้ำ (เป็นข้อยกเว้นของ CPR 2010) เพราะผู้ที่จมน้ำหมดสติ เนื่องจากขาดอากาศหายใจ จึงยังคงต้องเริ่มต้นจากการเป่าปาก เพื่อช่วยหายใจอยู่

ระวังเด็กจมน้ำ การป้องกัน 

  • ปฎิบัติตามกฎความปลอดภัยทางน้ำ เช่น ใส่เสื้อชูชีพ หรือ ใช้อุปกรณ์ลอยน้ำทุกครั้ง
  •  สำรวจแหล่งน้ำในชุมชน เฝ้าระวัง แจ้งเตือน ติดตั้งป้ายเตือน และจัดหาอุปกรณ์ช่วยคนตกน้ำที่สามารถหาได้ง่ายในท้องถิ่น 
  • ควรสนับสนุนให้เด็ก 12 ปีขึ้นไป ได้ผึกทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) คนจมน้ำที่ถูกต้อง และรู้จักวิธีเอาตัวรอดในน้ำ
สุดท้าย อย่างปล่อยให้เด็กเล่นน้ำตามลำพัง

ขณะที่ พญ.ศิริรัตน์ สุวรรณฤทธิ์ ผู้อำนวยการกองป้องกันการบาดเจ็บ กล่าวว่า ชุมชนควรมีการเฝ้าระวังแหล่งน้ำเสี่ยงในชุมชน ไม่ปล่อยให้เด็กลงไปเล่นน้ำ และมีการจัดการแหล่งน้ำเสี่ยงให้เกิดความปลอดภัย สำหรับสถานที่ที่เปิดให้บริการเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำควรดำเนินการ ดังต่อไปนี้ 

  • ติดป้ายคำเตือน จัดให้มีอุปกรณ์ช่วยคนตกน้ำบริเวณแหล่งน้ำ
  • มีเสื้อชูชีพให้บริการและให้ใส่ทุกครั้งที่ทำกิจกรรมทางน้ำ
  • กำหนดบริเวณสำหรับเล่นน้ำแยกออกจากบริเวณสัญจรทางน้ำ มีเจ้าหน้าที่ lifeguard คอยดูแล
  • การประชาสัมพันธ์ในการดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด  

อ่านข่าว : แจ้งเตือนคนไทย ระวังผลกระทบ สู้รบ "เมียนมา-คาเรนนี"

รวบ 7 เจ้าหน้าที่กองกีฬา กทม.ทุจริตค่าซ่อมรถ 2.7 ล้าน

"พิพัฒน์" เปิดทางสอบประกันสังคมปมซื้อตึก 7 พันล้าน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง