วาระการปรับสูตรคำนวณเงินบำนาญชราภาพประกันสังคมใหม่ จะถูกนำกลับเข้าที่ประชุมคณะกรรมการประกันสังคมอีกครั้ง ในวันอังคารนี้ (11 มี.ค.) หลังการประชุมคราวที่แล้วถูกตีกลับ เพราะมีคณะกรรมการบางคนบอกว่าไม่เข้าใจสูตร จึงยังไม่ผ่านการพิจารณา
สมมติว่าหากเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ส่งเงินสมทบมา 30 ปี แต่เกิดมาตกงานตอนอายุ 50 ปี แล้วไปสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ในเวลาที่เหลืออีก 5 ปี สิทธิบำนาญชราภาพที่ได้รับ จะไม่ได้คิดจากฐานเงินเดือนเดิมที่เคยส่ง แต่จะคิดจากฐานเงินเดือนตามมาตรา 39 นั่นอาจหมายถึงเงินที่ได้รับต่อเดือนในยามชรา จากที่ควรจะได้ 4,000-5,000 บาท อาจเหลือแค่เดือนละ 1,000 กว่าบาทเท่านั้น

สูตรที่ใช้อยู่ตอนนี้ ใช้มา 27 ปี ตั้งแต่ปี 2540 ผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้บำนาญชราภาพโดยคิดจาก 20% ของฐานเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย จากเพดานสูงสุดของเงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท
ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 39 คิด 20% เท่ากัน แต่ฐานเงินจะคิดจาก 4,800 บาท ทั้ง 2 มาตรา ถ้าส่งเงินสมทบเกิน 180 เดือน จะได้เงินบำนาญเพิ่มอีก ปีละ 1.5%
สูตรนี้ถ้าเป็นผู้ประกันตน ส่งเงินสมทบมา 20-30 ปี แต่เกิดมาตกงานก่อนอายุ 55 ปีที่จะได้รับเงิน แล้วไปต่อมาตรา 39 แทนที่จะได้เงินบำนาญโดยคิดจากฐาน 15,000 บาท จะกลายเป็นคิดจากฐาน 4,800 บาท

สูตรใหม่ต่างกันอย่างไร?
สูตรใหม่จะไม่ใช้ฐานเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย แต่จะคำนวณจากฐานเงินเดือนเฉลี่ยที่ส่งจริงในมูลค่าปัจจุบัน ถึงจะตกงานแล้วไปต่อมาตรา 39 เงินสมทบทั้ง 2 ส่วน ที่ส่งไปมาตรา 33 และส่งมาตรา 39 ก็จะถูกนำมาคำนวณด้วย
ประโยชน์ที่เห็นชัดๆ คือ ผู้ประกันตนมาตรา 39 จะได้รับเงินบำนาญชราภาพที่เป็นธรรมมากขึ้น
ยกตัวอย่างผู้ประกันตนมาตรา 39 ส่งเงินสมทบทั้งหมด 25 ปี โดยส่งเงินสมทบมาตรา 33 มา 15 ปี และส่งต่อมาตรา 39 อีก 10 ปี

ถ้าสูตรเดิมคำนวณ 20% คูณด้วย 4,800 บาท จะได้เงินบำนาญที่ 960 บาท ถ้าสมทบมาเกิน 180 เดือน จะได้เพิ่มอีกปีละ 1.5% หรือ 720 บาท รวมแล้วผู้ประกันตนรายนี้ จะได้รับบำนาญอยู่ที่เดือนละ 1,680 บาท
แต่ถ้าใช้สูตรใหม่ 20% คูณด้วย ฐานเงินเดือนเฉลี่ยส่งจริงในมูลค่าปัจจุบัน จ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือน ได้เพิ่มอีกปีละ 1.5% เช่นกัน รวมแล้วผู้ประกันตนมาตรา 39 รายนี้ จะได้เงินบำนาญเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3,800 บาท

คงมีคำถามว่า แล้วผู้ประกันตนมาตรา 33 จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ คำตอบก็คือ ได้บำนาญชราภาพไม่ต่างจากสูตรเดิม แต่จะมีการปรับฐานเงินเดือนช่วงแรกที่เคยต่ำให้เป็นไปตามอัตราเงินเฟ้อตามมูลค่าปัจจุบัน และถ้าอัตราการจ่ายใหม่นี้ จะกระทบกับความมั่นคงกองทุนหรือไม่
รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี กรรมการประกันสังคม ระบุว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นนักคณิตศาสตร์ประกันภัยคำนวณว่าสูตรนี้จะใช้เงินเพิ่มขึ้นใน 10 ปี ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท จากกองบำนาญที่มีอยู่ ณ ตอนนี้ 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งหลังจากนั้นในอีก 10 ปีข้างหน้าเงินกองทุนก็จะมากยิ่งขึ้น ค่าใช้จ่ายไม่ได้แตกต่างจากที่คำนวณไว้อย่างมีนัยสำคัญ 10 ปีก็จะถึงจุดสมดุล โดยไม่กระทบกับเสถียรภาพของกองทุน
นอกจากนี้ รศ.ษัษฐรัมย์ ย้ำว่า การใช้สูตรคำนวณบำนาญชราภาพใหม่ ไม่ใช่การเพิ่มเงินบำนาญ แต่เป็นการคำนวณเงินบำนาญที่ผู้ประกันตนควรจะได้รับอย่างเป็นธรรม
อ่านข่าว :
กมธ.เชิญ 3 หน่วยงานแจง สปส.ยันประกันสังคมสิทธิไม่ด้อยกว่าบัตรทอง
สปส.สั่งตรวจสอบกรณีผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวเสียชีวิต หลังใช้สิทธิประกันสังคมเข้ารักษา