ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"สมเกียรติ" ชี้ผลกระทบจาก "คดีพิรงรอง"

สังคม
3 มี.ค. 68
13:50
114
Logo Thai PBS
"สมเกียรติ" ชี้ผลกระทบจาก "คดีพิรงรอง"

วันนี้ (3 มี.ค.2568) ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กระบุว่า ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องคำตัดสินของศาลในกรณีที่ทรู ไอดี ฟ้องอาจารย์พิรงรอง ตั้งแต่เห็นคำพิพากษาฉบับเต็มแล้ว

แต่ติดการเดินทางไปต่างประเทศ และภารกิจต่าง ๆ รัดตัว จนไม่มีเวลาได้เขียนจนกระทั่งวันนี้ ในฐานะพยานของจำเลย และนักวิชาการที่ติดตามอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและวิทยุ-โทรทัศน์ มานาน ผมรู้สึกทั้งแปลกใจและเศร้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในคดีนี้

ผมแปลกใจที่ศาลตัดสินลงโทษจำเลย ทั้งที่ไม่ได้มีการกระทำใด ๆ อันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดโทษทางอาญาได้ เพราะการดำเนินการต่าง ๆ เช่น การออกหนังสือเพื่อแจ้งไปยังผู้ประกอบการก็ทำในนามสำนักงาน กสทช. ไม่ใช่ในนามของอาจารย์พิรงรอง และเป็นการแจ้งให้ผู้ประกอบการทำตามกฎหมายที่มีอยู่คือ กฎ Must Carry ซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบการโทรทัศน์ต้องเผยแพร่รายการผ่านผู้ที่รับใบอนุญาตบริการโครงข่าย จาก กสทช. เท่านั้น

ที่สำคัญศาลเชื่อว่า จำเลยปลอมแปลงเอกสาร ทั้งที่เป็นเอกสารที่คณะอนุกรรมการฯ ทั้งองค์คณะได้รับรองความถูกต้องแล้ว นอกจากนี้ศาลไม่ได้อธิบายเหตุผลที่ไม่เชื่อคำให้การของฝ่ายจำเลยเลย ดังที่มีผู้รู้หลายท่านตั้งข้อสังเกตไว้แล้ว

ผมรู้สึกเศร้าใจมากที่ผู้ที่พยายามปกป้องประโยชน์ของผู้บริโภค ตกเป็นเหยื่อเกมกฎหมาย และถูกศาลตัดสินจำคุก โดยไม่รอลงอาญา เสมือนได้ทำกระทำผิดร้ายแรง ด้วยพยานหลักฐานที่น่าสงสัยดังที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตไว้แล้ว ในขณะที่อาชญากรที่แท้จริง หลายต่อหลายคนถูกยกฟ้องในชั้นศาล ด้วยเหตุผลว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ

แม้การพิจารณาของศาลในภายหลัง เช่น ในขั้นตอนของการอุทธรณ์หรือฎีกาในอนาคต อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่อาจเป็นคุณต่ออาจารย์พิรงรองบ้าง ไม่ว่าจะยกฟ้องหรือให้รอลงอาญาก็ตาม ความเสียหายต่อสังคมไทยจากคดีนี้ ก็เกิดขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว และยากที่จะแก้ไขกลับมา

เนื่องจากมีผลกระทบกว้างไกล ไปกว่าผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้โดยตรง อย่างน้อย 3 ประการหนึ่ง ผลกระทบต่อผู้ทำงานให้แก่ผู้บริโภคและผู้ปกป้องประโยชน์สาธารณะอื่น ๆ โดยเฉพาะในกรณีที่ประโยชน์ของผู้บริโภคหรือประโยชน์สาธารณะ ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุน ซึ่งมีทรัพยากรจ้างทีมงานนักกฎหมาย และมีท่าทีที่พร้อมจะ “ค้าความ” กับผู้ที่เห็นต่าง

ปัญหานี้นับวันจะเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นในประเทศไทย เมื่อดูจากการฟ้องร้องหมิ่นประมาทเพื่อปิดปาก (SLAPP) หลายคดี ลำพังที่ปรากฏในหนังสือ “เมื่อกฎหมายถูกใช้เป็นอาวุธ” ของสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนก็มีมากมายแล้ว ที่น่าตกใจก็คือ คดีนี้ไปไกลกว่าแค่การฟ้องหมิ่นประมาทเพื่อปิดปากธรรมดา เพราะไปถึงขึ้นฟ้องร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

สอง ผลกระทบต่อการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะคณะกรรมการและอนุกรรมการต่าง ๆ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุน เพราะแม้เป็นเพียงการพิจารณาในระดับคณะอนุกรรมการ และยังไม่มีการทำคำสั่งทางปกครองใด ๆ ก็อาจถูกเล่นงานได้ ผลก็คือการตัดสินในลักษณะนี้ จะทำให้กลุ่มทุนมีอำนาจต่อรองกับหน่วยงานรัฐเพิ่มขึ้นอีกมาก จนบางหน่วยงานไม่กล้าพิจารณาเรื่องที่อ่อนไหวและออกอาการ “เกียร์ว่าง” ไปแล้ว

ในอนาคตเราคงจะเห็นกลุ่มทุนบางกลุ่มใช้แนวทาง “ค้าความ” กับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐมากขึ้น เมื่อไม่สามารถโน้มน้าวให้ทำในสิ่งที่ตนต้องการได้

สาม ผลกระทบต่อ “นิติรัฐ” ของประเทศไทย จากคำตัดสินของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซึ่งพิจารณาคดีโดยวิธีไต่สวน ทำให้ศาลมีอำนาจในการกำหนดแนวทางในการพิจารณาคดี (ซึ่งต่างจากการพิจารณาคดีด้วยวิธีกล่าวหา ซึ่งโจทก์และจำเลยสามารถหักล้างกันได้อย่างเท่าเทียมมากกว่า)

ในขณะที่ศาลไม่ได้ให้เหตุผลอย่างแจ้งชัดว่า เหตุใดจึงไม่เชื่อคำให้การหักล้างของจำเลย ทั้งที่คดีนี้เป็นคดีอาญา ซึ่งต้องพิจารณาโดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย และการจะตัดสินลงโทษจำเลยจะต้องพิสูจน์จนสิ้นสงสัยตามสมควร (Beyond a Reasonable Doubt) และควรสามารถอธิบายให้สังคมสิ้นสงสัยตามสมควรด้วย

ด้วยความเคารพต่อผลการตัดสิน และความเป็นอิสระของศาล การที่ศาลมีอำนาจในการพิจารณา แต่ไม่ได้ให้เหตุผลในการตัดสินคดีอย่างครบถ้วนรอบด้านนั้น จะทำให้เกิดคำถามมากมายต่อคำตัดสิน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลมาก และหากลักษณะการให้เหตุผลรวบรัดตัดตอนเช่นนี้กลายเป็นมาตรฐาน ก็อาจเสี่ยงที่ศาลยุติธรรม ซึ่งปกติได้รับความเชื่อถือสูงจากประชาชน จะถูกตั้งคำถามต่อการใช้ดุลพินิจอีกบ่อยครั้งในอนาคต

ทั้งนี้ไม่ต้องพิจารณาถึงความรู้สึกไม่สบายใจของสังคม รวมทั้งผู้พิพากษาบางส่วน ที่เคยสะท้อนว่า สำนักงานศาลยุติธรรมควรเลิกจัดหลักสูตรฝึกอบรมที่ให้นักธุรกิจมาร่วม ในอดีตผมเคยไปเป็นวิทยากรบรรยายในหลักสูตรในลักษณะนี้ และรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทเอกชน ที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับภาครัฐ ไปเข้าร่วมในหลักสูตร ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่ถูกกำกับดูแล (Regulated Business) หรือมีรายได้หลักจากการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ หรือสัมปทานจากภาครัฐ

ซึ่งมีโอกาสจะมีคดีความกับหน่วยงานรัฐ ตลอดจนธุรกิจที่เสี่ยงล้มละลายหรือต้องฟื้นฟูกิจการ ซึ่งอาจจะต้องไปขึ้นศาลล้มละลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นฝ่ายกฎหมายหรือฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ของเครือบริษัทเดิม ๆ เข้าไปเรียนในหลักสูตรหลายรุ่นและตีสนิทกับผู้พิพากษา ในจำนวนนี้ ผมสงสัยว่า บางคนน่าจะเรียกได้ว่าเป็น “ล็อบบี้ยิสต์” เพราะเคยพยายามมา “ล็อบบี้” ผมและนักวิจัยของทีดีอาร์ไอมาแล้ว

กลับมาเรื่องคดีของอาจารย์พิรงรอง สำหรับผมแล้ว คดีนี้เป็นคดีตัวอย่างที่อาจสั่นคลอนความเชื่อมั่นต่อระบบยุติธรรมในสังคมไทยอย่างที่หลายฝ่ายแสดงความกังวล และไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจึงจะสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นนี้กลับมาได้

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักกฎหมาย นักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชนและสื่อมวลชน ผมขอเรียกร้องให้ผู้บริหารของศาลยุติธรรม ลงมาศึกษาดูว่า คดีนี้มีความผิดปกติอะไรหรือไม่ ทำไมจึงได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง

โดยอาจจัดสัมมนากันภายในศาลยุติธรรม เพื่อกำชับให้ผู้พิพากษาต้องให้เหตุผลอย่างชัดเจนและเป็นธรรม และพิจารณาทบทวนการจัดหลักสูตรอบรมต่าง ๆ ที่อาจทำให้ประชาชนไม่มั่นใจในระบบยุติธรรมของประเทศ

ปราชญ์ตะวันตกเคยกล่าวเตือนไว้ว่า “ระบบยุติธรรมไม่เพียงแต่จะต้องสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ต้องทำให้สังคมเชื่อว่าเกิดความยุติธรรมด้วย” (Justice must not only be done, but must also be seen to be done)

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง