ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ทรัมป์เสนอขาย "Trump Card" กลบหนี้สหรัฐฯ

ต่างประเทศ
27 ก.พ. 68
11:58
141
Logo Thai PBS
ทรัมป์เสนอขาย "Trump Card" กลบหนี้สหรัฐฯ
อ่านให้ฟัง
06:36อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
หนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 คือการตัดลดงบประมาณและแก้ปัญหาหนี้ภาครัฐ ซึ่งนอกจากจะสั่งระงับเงินช่วยเหลือทั่วโลกและหั่นตัวเลขเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว ผู้นำสหรัฐฯ ยังเตรียมเสนอขายบัตรทองให้นักลงทุนกระเป๋าหนัก แลกกับสิทธิอาศัยในสหรัฐฯ ด้วย

ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ ชาวต่างชาติจะสามารถซื้อสิทธิในการมีถิ่นพำนักในสหรัฐฯ ซึ่งจะปูทางไปสู่การขอสถานะพลเมืองอเมริกันได้ด้วยเงิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 168 ล้านบาท ผ่านโครงการบัตรทอง หรือ Gold Card ซึ่งคนในรัฐบาลสหรัฐฯ เรียกสิทธิพิเศษนี้ว่า "Trump Card"

โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแผนระดมเงินเข้ากระเป๋ารัฐบาลระหว่างให้สัมภาษณ์สื่อในห้องทำงานรูปไข่ที่ทำเนียบขาว โดยผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า Gold Card จะให้สิทธิพิเศษกับคนมีเงินที่ต้องการเข้ามาอยู่ในสหรัฐฯ มาทำงาน รวมทั้งมาสร้างงานและตั้งบริษัทในประเทศนี้ ซึ่งสิทธิพิเศษดังกล่าวจะเหมือนกับสิทธิที่ชาวต่างชาติจะได้รับจากการถือ Green Card บวกกับช่องทางในการขอสถานะพลเมืองอเมริกัน โดยทรัมป์ เชื่อว่า แผนนี้เป็นไปตามกฎหมายและไม่ต้องผ่านสภาคองเกรส

ด้านรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า โครงการบัตรทองจะมาแทนที่โครงการ EB-5 ซึ่งเป็นโครงการที่ริเริ่มขึ้นมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 เพื่อจูงใจชาวต่างชาติให้เข้ามาลงทุนประมาณ 1,000,000 ดอลลาร์ แลกกับการได้ Green Card เพื่ออาศัยอยู่ในสหรัฐฯ โดยเบื้องต้น ยังไม่ชัดเจนว่า รัฐบาลทรัมป์จะยกเลิกการสุ่มแจก Green Card ด้วยหรือไม่

ทรัมป์หมายมั่นปั้นมือที่จะให้โครงการบัตรทองช่วยสร้างงานและลดหนี้ของประเทศ โดยสหรัฐฯ มีหนี้สาธารณะสูงที่สุดในโลก ซึ่งนับย้อนไป 100 ปี สหรัฐฯ ก่อหนี้ จากไม่ถึง 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 1924 เพิ่มเป็นมากกว่า 35 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2024

ตัวเลขหนี้มักจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่สหรัฐฯ เผชิญกับวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2008 และล่าสุด โควิด-19 ซึ่งทำให้หนี้ภาครัฐพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเวลาเพียงปีเดียว และนับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2020 เป็นต้นมา หนี้ภาครัฐสูงทะลุ 120% ของ GDP ทุกปี

ผู้นำสหรัฐฯ ประเมินว่า จะขายบัตรทองได้ 1,000,000 ใบ ซึ่งแต่ละคนที่มาซื้อจะต้องถูกตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด ขณะที่เศรษฐีรัสเซียบางคนก็อาจจะสามารถซื้อบัตรนี้ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งทรัมป์ มองว่า แม้พวกเขาจะไม่ได้รวยเท่ากับเมื่อก่อน แต่เงินแค่ 5,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรง

หลังจากนี้ คงต้องรอดูว่า มาตรการดึงดูดเงินเข้าภาครัฐของทรัมป์มาตรการนี้จะได้ผลมากน้อยแค่ไหน หรือว่าจะแท้งก่อนคลอดเหมือนกับบางมาตรการก่อนหน้านี้ ที่ถูกศาลสั่งระงับ เนื่องจากอาจขัดกับข้อกฎหมาย

จริง ๆ แล้ว มาตรการจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อวีซาระยะยาวเป็นมาตรการที่มีใช้ในหลายประเทศทั่วโลกด้วยจุดประสงค์แบบเดียวกัน นั่นคือ การดึงเงินลงทุนต่างชาติเข้าประเทศ ไม่ว่าจะเข้าบริษัทเอกชน เปิดธุรกิจใหม่ หรือเข้ากระเป๋ารัฐบาล โดยในแต่ละประเทศก็จะมีเงื่อนไข หรือคุณสมบัติการยื่นขอวีซาประเภทนี้แตกต่างกันออกไป

ยกตัวอย่าง ออสเตรีย กำหนดว่า คนที่จะเข้าร่วมโครงการ Private Residence จะต้องมีเงินในกองทุนสภาพคล่อง 50,000 ยูโร มีที่อยู่ถาวรในออสเตรีย มีประกันสุขภาพ และต้องมีเอกสารยืนยันว่าฟังพูดอ่านเขียนภาษาเยอรมันได้ด้วย ซึ่งถ้าได้วีซาประเภทนี้ จะทำให้สามารถเดินทางไปในกลุ่มประเทศเชงเก้นได้โดยไม่ต้องมีวีซา และสามารถยื่นขอเป็นพลเมืองออสเตรียได้ หลังถือสถานะผู้มีถิ่นพำนักในออสเตรีย 10 ปี

ส่วนกรีซเปิดตัว Golden visa ในปี 2013 เพื่อรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเปิดทางให้คนนอกยุโรปได้สถานะมีถิ่นพำนักถาวรในกรีซผ่านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ขั้นต่ำ 250,000 ยูโร ซึ่งไม่ต้องมาอยู่ที่กรีซจริง ๆ ก็ได้ รวมทั้งยังเปิดทางให้ปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ได้ ถือครองหุ้นและรับเงินปันผลจากบริษัทในกรีซได้ด้วย

อาเซียนหลายประเทศก็มีโครงการในลักษณะนี้เช่นกัน โดยนอกจากไทยแล้ว ประเทศที่น่าสนใจในหมู่นักลงทุน หนีไม่พ้น สิงคโปร์ ซึ่งโครงการ Global Investor ถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดนักธุรกิจที่มีประสบการณ์และร่ำรวย ซึ่งต้องการเริ่มธุรกิจใหม่ หรือลงทุนในสิงคโปร์ ผ่านตัวเลือกการลงทุนหลากหลายด้วยเงินขั้นต่ำ 10 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์

ขณะที่โครงการ Premium Visa ของมาเลเซียกำหนดให้ต้องฝากเงินในธนาคาร 1,000,000 ริงกิต ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในโครงการ แต่อาจถอนได้สูงสุด 500,000 ริงกิต เพื่อนำไปซื้อบ้าน จ่ายค่ารักษาพยาบาล หรือการศึกษาบุตรในมาเลเซีย

บริษัท Henley & Partners ซึ่งรับปรึกษาเรื่องการอพยพผ่านการลงทุนทั่วโลก ระบุว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชาวอเมริกันและอังกฤษ เลือกเพิ่มโอกาสในการย้ายประเทศมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยบริษัทนี้มีลูกค้าในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 1,000% จากปี 2019 ถึงปี 2024 ปัจจัยที่ทำให้คนย้ายออกก็มักจะเป็นเรื่องความไม่แน่นอนและไร้เสถียรภาพ แต่คนรวยกระเป๋าหนักจะเข้าไปอยู่สหรัฐฯ หรือไม่ ต้องรอดู

อ่านข่าวอื่น :

สหรัฐฯ พบผู้เสียชีวิตจาก "โรคหัด" ครั้งแรกในรอบ 10 ปี

"มัสก์" ร่วมประชุม ครม.นัดแรก "ทรัมป์"

ข่าวที่เกี่ยวข้อง