ยิ่งกว่า "ตกนรก" ทั้งเป็น เมื่อหญิงสาวจำนวนไม่น้อย กลายเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ ถูกรีดไข่เพื่อนำไข่ไปขายต่อ ทำเด็กหลอดแก้ว ส่งไปจำหน่ายยังประเทศที่สาม ทารกบางราย เมื่อคลอดออกมาแล้ว อาจจะถูกถ่ายเลือด หรือ เก็บสเต็มเซลล์ เพื่อนำไปรักษาโรคและอาการเจ็บป่วยให้เด็กคนอื่น แม้ว่า ทารกที่เกิดมาอาจจะต้องเสียชีวิตในที่สุด
ปัจจุบันพบว่า มีหญิงไทยที่ถูกหลอกบังคับรีดไข่สืบพันธุ์ในประเทศจอร์เจีย กว่า 100 คน และผู้บงการอยู่เบื้องหลังขบวนการค้ามนุษย์ หนีไม่พ้นกลุ่มจีนเทา โดยมีนายหน้าชาวไทยร่วมอยู่ในขบวนการ แม้จะมีหญิงสาวจำนวนไม่น้อยที่ สมัครใจรับจ้าง "อุ้มบุญ" แต่บางคนถึงกับเอาชีวิตไม่รอด เมื่อถูกกักขัง ทรมาน บังคับให้เสพยา และค้าประเวณี
"จอร์เจีย" นรกบนดิน (สาวไทย) ในต่างแดน
"หนูต้องถูกพาไปฉีดยาที่คลินิกทุก 7 วัน จนมีอาการปวดต้องทานยาที่นำจากประเทศไทยไปกินเอง บางคนตรวจสุขภาพผ่านก็จะถูกพาไปดูดเอาไข่อ่อนทุกเดือน" คำบอกเล่าของ “หญิง” (นามสมติ) ผู้เสียหายที่หลุดพ้นวิบากกรรมจากขบวนการค้ามนุษย์ ในประเทศจอร์เจีย หลังได้รับการช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี และตำรวจสากล ที่นำกำลังบุกเจ้าช่วยเหลือ ภายในอาคารแห่งหนึ่งในเมืองทบิลิซี
หญิง เล่าว่า รับงานอุ้มบุญจากนายหน้ารายหนึ่ง ที่โพสเฟซบุ๊ก ในลักษณะมีงานอุ้มบุญถูกกฎหมายในประเทศจอร์เจีย โดยชาวต่างชาติที่มีลูกยากเป็นผู้ว่าจ้างให้เซ็นสัญญาให้อุ้มบุญ มีรายได้ 4-6 แสนบาท และจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ทุกขั้นตอน จึงตัดสินใจเดินทางไป และพบว่า สาวไทยร่วมทริปนั้นด้วยอีก 10 คน
และกว่าจะรู้ตัวว่า "ถูกหลอก" ไปรีดไข่ ไม่ใช่การจ้าง "อุ้มบุญ"อย่างที่ตกลงกันไว้ ก็ถูกยึดหนังสือเดินทางเสียแล้ว และไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือใด ๆ ได้ ทุกคนถูกขังให้อยู่ในตึก 2 ชั้นและ 3 ชั้น จากจำนวนอาคารทั้งหมด 4 อาคาร โดยมีหญิงไทยถูกกักบริเวณกว่า 100 คน
หญิงเล่าว่า แต่ละคนจะถูกบังคับพาไปฉีดยาทุก 7 วัน เพื่อกระตุ้นการตกไข่ ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวมาก่อนว่าจะถูกหลอกไปรีดไข่แทนการอุ้มบุญ กว่าจะหลุดพ้นจากขบวนการค้ามนุษย์ ในจอร์เจีย ด้วยความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรีและตำรวจสากล จนกลับบ้านเกิดได้โดยสวัสดิภาพเมื่อปลายเดือนม.ค.ที่ผ่านมา
นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี กล่าวว่า จากข้อมูลเบื้องต้นพบมีคนไทยอยู่ในขบวนการทั้งหมด 3 คน เป็นชาย 1 คน หญิง 2 คน คนแรกเป็นแอดมินเพจเฟซบุ๊ก ที่โพสต์หาคนไปรับอุ้มบุญ คนที่สอง คือ ผู้ที่ไปรอรับเหยื่อที่สนามบินอู่ตะเภา และพาไปส่งตลอดการเดินทางจนถึงประเทศจอร์เจีย ส่วนคนที่สาม คือ เป็นคนที่คอยดูแลหญิงไทยที่ถูกหลอกไปไว้ในอาคาร
แต่ที่กังวลคือ ขบวนการนี้ อาจจะรุนแรงไปถึงการผลิตเด็กขึ้นมาใช้ในเชิงพาณิชย์ อาทิ การค้าอวัยวะ การเก็บสเต็มเซลล์ รวมถึงเพื่อการให้เลือด
นางปวีณา กล่าวว่า ในอดีตเคยช่วยเหลือหญิงชาวไทย รับอุ้มบุญให้ แม่ชาวจีนคนหนึ่ง ซึ่งมาร้องขอความชวยเหลือในขณะกำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากเกิดความไม่มั่นใจว่า เด็กจะถูกเลี้ยงดูอย่างดีหรือไม่ ซึ่งขณะที่เดินทางกลับมาไทยแล้ว หญิงชาวจีน ยังเดินทางติดตามและเข้ามาร้องขอผ่านมูลนิธิฯ เพราะต้องการเด็ก ทั้งยังยอมรับว่า ต้องการเด็กไปถ่ายเลือดให้กับลูกตัวเองที่กำลังรักษาอาการป่วย จึงสันนิษฐานว่า กลุ่มขบวนการนี้ ก็อาจเป็นชาวจีน และมีเป้าหมายผลิตเด็กไปใช้ประโยชน์มากกว่า เลี้ยงดูเป็นบุตร
ส่วนกรณีที่ประเทศจอร์เจีย นางปวีณา เล่าว่า จากการสอบถามเหยื่อที่ได้รับการช่วยเหลือออกมา ให้ข้อ มูลว่า ผู้หญิงที่อยู่ในอาคาร จะได้รับการฉีดยากระตุ้นการตกไข่รายสัปดาห์ และถูกบังคับเก็บไข่สืบพันธุ์รายเดือน มีการวางยาสลบ ตามขั้นตอนของขบวนการค้ามนุษย์ อย่างไรก็ตาม เพื่อแลกกับความอยู่รอดและค่าตอบแทน บางคนจึงต้องแกล้งป่วยเพื่อเลี่ยงการถูกนำตัวไปรีดไข่
"บางคนจำยอมถูกรีดไข่เพื่อแลกกับเงินในการไถ่ตัวกลับไทย หากใครไม่ยอมทำตามจำเป็นต้องหยิบยืมเงินจากญาติพี่น้องเพื่อชดใช้ค่าเดินทางให้กับประสบการณ์ถึงคนละ 70,000 - 80,000 บาท ถึงแม้ไม่รู้ว่า ชะตากรรมอยู่ในสภาวะเลี่ยงตายสูง" ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ให้ข้อมูล
วางยาสลบ "รีดไข่" อันตรายถึง "ชีวิต"
"ตายคือตายนะครับ การฉีดยากระตุ้นการตกไข่ รายสัปดาห์ หรือนำไปถูกเก็บไข่ 10,000 บาทรายเดือน มีความอันตรายถึงชีวิตอาจไม่ได้อยู่ในการดูแลของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เฉพาะทาง" ศ.นพ.กำธร พฤกษานานนท์ อาจารย์คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะกรรมการคุมครองเด็กที่เกิดโดยอาศัย เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ให้ความเห็น
และระบุว่า หากเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ผู้เสียหายกล่าวอ้าง ตั้งแต่ขั้นตอนการฉีดยากระตุ้น รวมถึงขั้นตอนการเก็บไข่สืบพันธุ์ ด้วยการวางยาสลบ "อันตรายถึงชีวิต" หากไม่ได้รับการดูแลจากผู้เขี่ยวชาญทางการแพทย์โดยตรง
เนื่องจากแพทย์จะต้องมีการประเมินร่างกายผู้ให้ไข่สืบพันธุ์ และติดตามอาการก็เป็นสิ่งสำคัญ เช่น การที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจจะเกิดสภาวะน้ำขังในช่องท้อง จนนำไปสู่สภาวะน้ำท่วมปอด รวมถึงความเสี่ยงของการวางยาสลบ หากไม่ได้รับการดูแลจากวิสัญญีแพทย์โดยตรงก็อาจจะเสียชีวิตระหว่างเก็บไข่ได้ด้วยเช่นกัน
สำหรับการเก็บไข่สืบพันธุ์ ส่งต่อไปยังประเทศที่ 3 จำนวนมาก ศ.นพ.กำธร ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ 3 ข้อ คือ
1.ตอบสนองต่อครอบครัวที่มีบุตรยาก หรือยากได้บุตรจริง ๆ
2. ต้องการนำเด็กที่เกิดออกมาจากการผสมเทียมเพื่อเป็นอะไหล่มนุษย์ หรือการซื้อขายอวัยวะ
3. เป็นขบวนการค้าเด็กให้ไปเป็นโสเภณี หรือค้าประเวณีทางเพศ ซึ่งเป็นข้อมูลขององค์การสหประชาชาติระบุเอาไว้
ถ่ายไขกระดูก-เลือด ขบวนการเถื่อน ซื้อขาย "อะไหล่มนุษย์"
ศ.นพ.กำธร ให้ข้อมูลน่าสนใจ เรื่องของการซื้อขายอวัยวะว่า ความเป็นไปได้มากที่สุด คือ การถ่ายไขกระดูก และการถ่ายเลือด เพื่อรักษาผู้ป่วย ส่วนการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะมีความเป็นไปได้ในเด็กสู่เด็ก แต่การเปลี่ยนถ่ายอวัยวะในเด็กสู่ผู้ใหญ่นั้น ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์เฉพาะทางเป็นผู้ให้คำตอบในเรื่องนี้ แต่เชื่อว่าในกระบวนส่วนใหญ่จะไม่มีเลี้ยงดูจนเจริญวัยเพื่อนำไปเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ
นายแพทย์คนเดิม อธิบายว่า สำหรับขบวนการในการเก็บไข่สืบพันธุ์เพื่อนำไปขาย หรือการอุ้มบุญ ถูกบัญญัติเอาไว้ในองค์กรสหประชาชาติว่าเป็นกระบวนการค้ามนุษย์รูปแบบใหม่
ส่วนเหตุที่ต้องเป็นประเทศจอร์เจีย เข้าใจว่าการอุ้มบุญเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย และยังไม่มีกฎหมายบังคับใช้ในเรื่องของการเก็บไข่สืบพันธุ์ให้กับผู้ที่ต้องการมีบุตร จึงเป็นช่องว่างให้ขบวนการค้ามนุษย์ใช้พื้นที่เพื่อลักลอบกระทำความผิด
อย่างไรก็ตาม หากเมื่อเปรียบเทียบจากกฎหมายของประเทศจีนแล้ว ทางการจีนเคยมีหนังสือส่งมายังประเทศไทย เตือนบุคคลที่จะข้ามประเทศไปอุ้มบุญ หรือบริจาคขายโดยผิดกฎหมาย มีอัตราโทษค่อนข้างสูง สูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต เป็นไปได้ว่ากระบวนการดังกล่าวอาจจะเลี่ยงไปใช้พื้นที่ของประเทศอื่นแทน
"เชื่อว่าขบวนการลักลอบขายไข่สืบพันธุ์ หรือการอุ้มบุญโดยผิดกฎหมายในลักษณะนี้ไม่ได้มีอยู่ในประเทศจอร์เจียเพียงประเทศเดียว มีอีกหลายประเทศตามทวีปต่าง ๆ ก็มีปัญหาในลักษณะนี้เช่นการ รวมถึงประเทศไทยยังพบปัญหานี้อยู่ในปัจจุบัน"
สำหรับกฎหมายของประเทศไทยสามารถที่จะให้บุคคลอื่นมาอุ้มบุญ หรืออุ้มท้องแทนคู่สามีภรรยาที่มีบุตรยาก รวมถึงการบริจาคไข่สืบพันธุ์ สามารถทำได้แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขของกระทรวงสาธารณสุข และต้องได้รับอนุญาตเพียงเท่านั้น
ตามกฎหมายพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 กำหนดห้ามนำเข้าไข่สืบพันธุ์ อสุจิ ตัวอ่อน หรือส่งออกในลักษณะใดก็ตามเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ได้กำหนดไปชัดเจนแล้ว ขึ้นอยู่กับผู้บังคับใช้กฎหมายจะเอาจริงเอาจังได้มากน้อยแค่ไหน
"อยากเตือนคนไทย ที่คิดจะไปบริจาคไข่ หากไม่ได้คำนึงถึงความผิดตามหลักกฎหมาย ก็ควรคำนึงถึงหลักจริยธรรม ศีลธรรม บาปบุญคุณโทษตามหลักพุทธศาสนา เพราะการบริจาคไข่สืบพันธุ์นำไปผสมเทียม หากเด็กที่เกิดมาถูกนำไปเป็นอะไหล่มนุษย์จริงก็ ไม่ต่างอะไรกับฆ่าลูกในไส้ของตัวเอง" ศ.น.พ. กำธร พฤกษานานนท์ กล่าว
เอาผิดกฎหมายฟอกเงิน แก๊งค้ามนุษย์ "อุ้มบุญ-รีดไข่"
นาย ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯประจำรองนายกรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ให้ความเห็นทางด้านกฎหมายอย่างน่าสนใจว่า นอกเหนือจากการกระทำความผิดในเรื่องของการค้ามนุษย์แล้ว ยังสามารถเอาผิดฐานฟอกเงินหรือส่งข้อฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ด้วย
"นอกจากจะต้องถูกดำเนินคดี ถึงขั้นติดคุกแล้ว อาจจะถูกยึดทรัพย์สินที่มีทั้งหมด เพราะกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ เข้ามูลฐานความผิดการฟอกเงิน หมดทั้งอนาคตและทรัพย์สิน"
ขณะที่ พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ และ ผ.อ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ บอกว่า เบื้องต้นได้รับการประสารจากมูลปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรีแล้ว และจะกำหนดวันนัดพาผู้เสียหายเข้าพบอีกครั้งภายในสัปดาห์นี้ พร้อมทั้งเรียกประชุมหน่วยที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการช่วยเหลือ และสืบสวนเอาผิดผู้ร่วมขบวนการ มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
แม้ยังไม่ได้ข้อสรุปว่า "เหยื่อ" ทั้งหมดที่ถูกนำตัวไป "รีดไข่" ต้องการความช่วยเหลือทั้งหมดหรือไม่ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น สะท้อน ให้เห็นว่า ขบวนการค้าอะไหล่มนุษย์ มีอยู่จริง ไม่ต่างจากการรับจ้างอุ้มบุญ ไม่ว่าจะทำโดยเต็มใจหรือไม่ก็ตาม แต่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และเข้าข่ายเป็นเหยื่อในขบวนการค้ามนุษย์ โดยมีไทย-จีนเทา อยู่เบื้องหลัง
รายงานโดย : คัมคุณ ยมนาค ผู้สื่อข่าวสายอาชญากรรม สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
อ่านข่าว
จีน "say NO" to กาสิโน ชาติถูกทำลาย อยู่ใต้"เบี้ยล่าง" ประเทศอื่น
เปิด 4 ข้อเสนอ "หลิว จงอี" รัฐบาลไทย ยังโยนวุ่น "ตัดไฟ" เมียนมา