การผลักดันนโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพของโดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา สมัยที่ 2 แม้จะมีแรงต้าน แต่ในครั้งนี้ทรัมป์มาพร้อมประสบการณ์และเครื่องมือต่างๆ ในการรับมือกับแรงต้านเหล่านั้น
ทอม โฮแมน ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมพรมแดนทั้งหมดของสหรัฐฯ ในรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ประกาศเตรียมบุกจับกุมตัวผู้อพยพผิดกฎหมายครั้งใหญ่ในวันแรกที่ทำงาน ซึ่งคือวันนี้ (21 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น เนื่องจากเขามองว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยสาธารณะ
ก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ค้นพบอุโมงค์ ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเป็นอย่างดี มีการติดตั้งไฟส่องสว่างและระบบระบายอากาศ โดยอุโมงค์ที่มีความยาวประมาณ 300 เมตรแห่งนี้เชื่อมระหว่าง Ciudad Juarez ในเม็กซิโก กับระบบระบายน้ำของเมืองเอล ปาโซ ในรัฐเท็กซัส
ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ยังอยู่ระหว่างสืบสวนว่าอุโมงค์ดังกล่าวสร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดและถูกใช้มานานแค่ไหน ซึ่งการค้นพบครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางพรมแดน
อ่านข่าว : "ทรัมป์" สาบานตนเป็น ปธน.สหรัฐฯ คนที่ 47 เดินหน้านโยบายผู้อพยพ
เอล ปาโซ เป็นเมืองพรมแดนสำคัญอีกเมืองหนึ่งของสหรัฐฯ และเมื่อทรัมป์กลับมารอบนี้พร้อมกับนโยบายจัดการผู้อพยพอย่างเข้มงวด เอล ปาโซ จึงกลายเป็นแนวรบด่านหน้า โดยคนในพื้นที่เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ยังไม่ทันที่ทรัมป์จะรับตำแหน่งผู้นำ เจ้าหน้าที่ได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ บริเวณพรมแดน ทั้งการติดตั้งรั้ว วางเครื่องกีดขวางและซักซ้อมแผนการต่าง ๆ
ข้อมูลจากทางการสหรัฐฯ ชี้ว่า เมื่อปี 2022 มีผู้อพยพผิดกฎหมายในประเทศ ประมาณ 11 ล้านคน และเมื่อนำมารวมกับตัวเลขประมาณการระหว่างปี 2023 ถึงเดือน เม.ย.2024 พบว่าขณะนี้น่าจะมีผู้อพยพผิดกฎหมายที่เข้าข่ายถูกเนรเทศกลับประเทศต้นทาง ตามนโยบายของทรัมป์กว่า 13.3 ล้านคน
แม้จะไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าผู้อพยพเหล่านี้อยู่ที่ไหนบ้าง แต่เชื่อว่าจำนวนไม่น้อยน่าจะเลือกอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เป็นมิตรกับผู้อพยพ ซึ่งถูกเรียกว่า Sanctuary โดยพื้นที่ดังกล่าวเปรียบเสมือนพื้นที่หลบภัยสำหรับผู้อพยพ เนื่องจากพวกเขาจะไม่ต้องหวาดกลัวกับการถูกจับ หรือถูกเนรเทศด้วยเหตุผลแค่เรื่องเข้าเมืองผิดกฎหมาย
แนวคิดเรื่องการให้ที่หลบภัยกับผู้อพยพผิดกฎหมาย เริ่มต้นขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1980 ซึ่งองค์กรด้านศาสนาจัดหาสถานที่ปลอดภัยให้กับชาวอเมริกากลาง ที่หนีสงครามกลางเมืองเข้ามาในสหรัฐฯ โดยเมืองใหญ่ ๆ ที่ใช้นโยบายนี้ในยุคแรก ๆ มีทั้งซาน ฟรานซิสโก, ชิคาโกและลอส แอนเจลิส
Sanctuary จะเป็นพื้นที่ที่ไม่บังคับให้คนเปิดเผยข้อมูลสถานะผู้อพยพเมื่อเข้าไปใช้บริการสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงการศึกษาหรือสาธารณสุข รวมถึงการจำกัดการเปิดเผยข้อมูลสถานะดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นคนของรัฐบาลกลาง หรืออาจถึงขั้นห้ามไม่ให้มีการจับกุมตัวผู้อพยพผิดกฎหมาย หากคน ๆ นั้นไม่ได้ทำผิดอะไรอย่างอื่น นอกเหนือไปจากเรื่องการหลบหนีเข้าเมือง
อ่านข่าว : เมื่อ "ทรัมป์" ถอนตัว "ข้อตกลงปารีส" โลกจะเดือดขึ้นหรือไม่
ข้อมูลจากสหพันธ์เพื่อการปฏิรูปการเข้าเมืองอเมริกัน ชี้ว่า ปัจจุบันมีพื้นที่หลบภัยสำหรับผู้อพยพที่ใช้นโยบาย Sanctuary กว่า 600 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างก้าวกระโดดในยุครัฐบาลบารัค โอบามา ต่อเนื่องไปถึงรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ สมัยแรก
เมืองใหญ่ ๆ ที่ตั้งตัวเป็นที่หลบภัยของผู้อพยพมีตั้งแต่นิวยอร์ก, ลอส แอนเจลิส, ชิคาโก, ฟิลาเดลเฟีย, ซาน ดิเอโก และอีกหลายเมือง แต่หากสังเกตจะเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเดโมแครตทั้งนั้นทั้งในนิวยอร์ก, แคลิฟอร์เนียและอิลลินอยส์
พื้นที่หลบภัยเหล่านี้กลายเป็นหนามยอกอกที่คอยขัดขวางภารกิจเนรเทศผู้อพยพในระหว่างรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก เพราะเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร ในการจับกุมตัวผู้อพยพผิดกฎหมาย และเมื่อไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานท้องถิ่น ก็ย่อมเป็นเรื่องยากที่คนของรัฐบาลกลางจะเข้าถึงตัวผู้อพยพได้
ดังนั้น เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคทรัมป์ 2.0 เมือง Sanctuary จึงกลายเป็นพื้นที่เป้าหมายแรก ๆ ของภารกิจเนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ โดยนครชิคาโกอยู่ในรายชื่ออันดับแรกสุด ซึ่งมีรายงานว่า ปฏิบัติการบุกจับกุมตัวผู้อพยพผิดกฎหมายในชิคาโกอาจใช้เวลาตลอดทั้งสัปดาห์นี้ โดยอาศัยเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรกว่า 200 คน
หลังจากนี้ ต้องจับตาว่ามาตรการแข็งกร้าวของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 จะได้ผลมากน้อยเพียงใดและการต่อสู้คดีในชั้นศาลที่เกี่ยวเนื่องกับมาตรการนี้ตลอด 4 ปีนับจากนี้ไป ทีมงานของทรัมป์จะได้เปรียบรัฐบาลท้องถิ่นหรือไม่ แม้จะยังตอบชัดเจนไม่ได้ แต่ศึกครั้งนี้น่าจะรุนแรงและดุดันยิ่งกว่าในยุคทรัมป์สมัยแรก
อ่านข่าว
จับตา 100 วันแรก หลัง "โดนัลด์ ทรัมป์" นั่งเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ
"Tech Gang" มาเฟียเทคโนโลยี มือขวา "ทรัมป์" กู้วิกฤตสหรัฐฯ
ทรัมป์เตรียมเปิดเอกสารลับ ลอบสังหาร JFK และอีก 2 บุคคลสำคัญ
ย้อนผลงานสะเทือนโลก เมื่อครั้ง "ทรัมป์" นั่งเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ สมัยแรก