พรรคประชาชนใช้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่แตกต่างไปจากพรรคเพื่อไทย ในการหาเสียงเลือกตั้ง อบจ.หนนี้ เพราะขณะที่พรรคเพื่อไทย ชูคนดัง อย่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นตัวช่วยและเพิ่มคะแนนความนิยมให้ โดยอาศัยชื่อชั้นและชื่อเสียงเก่าๆ กรุยทางเรียกเสียงเชียร์จากประชาชน ทั้งทำหน้าที่ “โทรโข่ง” ให้รัฐบาลในภาพใหญ่เป็นสำคัญ แต่พูดเรื่องระดับท้องถิ่นค่อนข้างน้อย
แต่ค่ายสีส้มเน้นไปที่เรื่องท้องถิ่น การเปลี่ยนแปลง และแก้ปัญหาในระดับท้องถิ่น ดังที่เคยมีผลงาน “น้ำประปาสะอาด” และดื่มได้ที่ อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด กระทั่งคณะก้าวหน้าคว้ารางวัลใหญ่ อปท.โดดเด่นอันดับ 1 แล้ว ต้องไม่ลืมว่า “อาจสามารถโมเดล” คือพื้นที่จัดเรียลลิตี้โชว์แก้จน ที่นายทักษิณ และรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในอดีต ได้เลือกไว้หวังสร้างเป็นผลงานรัฐบาล
ครั้งนี้ ค่ายสีส้มยังใช้ยุทธศาสตร์ “ดาวกระจาย” โดยส่งแกนนำคนสำคัญในพรรคไปขึ้นเวทีปราศรัยถึง 16 จังหวัดทั่วประเทศ แบบจัดเต็ม ทั้งยังแบ่งพื้นที่ปราศรัยและรับผิดชอบหาเสียงชัดเจน เพื่อมีข้อมูลและปัญหาในแต่ละพื้นที่อย่างถูกต้อง ตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค. เป็นต้นมา ยาวไปถึงปลายเดือนมกราคม
“หัวหน้าเท้ง” นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ขึ้นเวทีที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน สมุทรปราการ มุกดาหาร และสงขลา
ขณะที่ 2 ผู้ช่วยหาเสียง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขึ้นเวทีที่ จ.สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ภูเก็ต พังงา สุราษฎร์ธานี นครนายก ปราจีนบุรี ระยอง และจันทบุรี
ส่วนอีกคน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกมอบหมายขึ้นเวทีที่ จ.เชียงใหม่ ลำพูน นนทบุรี สมุทรปราการ มุกดาหาร นครนายก และปราจีนบุรี
นอกจากนี้ ยังมีแกนนำพรรคและผู้ช่วยหาเสียงคนอื่น ๆ กระจายไปในแต่ละจังหวัด ทั้ง น.ส. ศิริกัญญา ตันสกุล นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร นายรังสิมันต์ โรม นายพริษฐ์ วัชรสินธุ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ รวมทั้ง นายปิยบุตร แสงกนกกุล และนายชัยธวัช ตุลาธน
หมายถึงระหว่างที่นายทักษิณขึ้นเวทีหาเสียง ให้ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย อย่างเผ็ดร้อน ที่ จ.นครพนม เมื่อวันเสาร์ (18 ม.ค.) นายณัฐพงษ์ ได้ขึ้นเวทีปราศรัยและร่วมดีเบตแสดงวิสัยทัศน์ร่วมกับผู้สมัครนายก อบจ.ที่เชียงใหม่ อย่างเข้มข้นไม่ต่างกัน
และวันเดียวกัน นายพิธาได้ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงที่ จ.สุราษฎร์ธานี ที่คะแนน สส.บัญชีรายชื่อของพรรคก้าวไกลมากเป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้งสส.ปี 2566
นอกจากนี้ ระหว่างที่นายทักษิณปราศรัยหาเสียงที่ จ.บึงกาฬ และหนองคาย นายพิธาได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่ จ.พังงา และ จ.ภูเก็ต โดยมีนายรังสิมันต์ โรม แกนนำระดับ “ตัวตึง” ที่เป็นคนพื้นเพ จ.ภูเก็ตร่วมหาเสียงด้วย
โดยประดับเรื่องหลักที่เน้นทั้งในสุราษฎร์ฯ พังงา และภูเก็ต คือ เรื่องการท่องเที่ยว จึงต้องการให้เป็นเมืองสวรรค์ ไม่ใช่เฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ หรือนักท่องเที่ยวต่างถิ่น แต่ให้คนในพื้นที่ได้รับด้วย
ไม่ว่าจะเรื่องสาธารณสุขที่ดี การศึกษาที่ดี และมีสิ่งแวดล้อมที่ดี เท่าเทียมกับนักท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นยุทธวิธีหาเสียงหาเสียงแบบเอาใจและดูแลคนในพื้นที่ที่ค่ายสีส้มไม่เคยเปลี่ยน คือไปที่ไหน เอาปัญหาในพื้นที่เป็นตัวตั้ง
ทำให้พรรคประชาชน ยังคาดหวังว่า จะชนะเลือกตั้งแบบหักปากกาเซียน แม้จะถูกด้อยค่าว่าขนาดมองจากดาวอังคารลงมา ยังรู้ว่าชนะยาก แต่ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพรรคเพื่อไทยยังสามารถปักธงสส.ในพื้นที่ภาคใต้ได้เลย ยกเว้นนายกฤษ สีฟ้า ในการเลือกตั้งปี 2548 ที่ได้มาจากคะแนนนิยมส่วนตัวที่ช่วยเหลือผู้ประสพภัยจากสึนามิ ประกอบกับข้อเด่นอีกอย่างของพรรค คือครั้งนี้ได้กระตุ้นให้คนออกไปใช้เสียงกันมาก ๆ เชื่อว่ายิ่งมากเท่าไหร่ โอกาสที่พรรคมีโอกาสชนะก็มีมากขึ้น
ไม่ใช่เฉพาะภาคใต้ แม้แต่ จ.เชียงใหม่ เมืองหลวง และฐานที่มั่นพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่สมัยไทยรักไทย แต่เลือกตั้งสส.ปี 2566 พรรคก้าวไกลก็เจาะฐานเสียงได้จนพรุน และครั้งนี้นายพิธายังย้อนรอย บุกไปหาเสียงที่ตลาดอุ๊ยทา อ.สันกำแพง บ้านเกิดของ “นายใหญ่” ขอคะแนนจากคนเชียงใหม่ เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนเลย มีนัยเย้ยกันอยู่ในที
กระทั่งนายทักษิณ ต้องวางโปรแกรมกลับไปช่วยหาเสียงที่เชียงใหม่ ในช่วงโค้งสุดท้ายอีกรอบ เพราะหากพลาดท่าอีกครั้งที่เชียงใหม่ นายทักษิณอาจต้องเอา “ปี๊บคลุมหัว” เมื่อกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ไม่ต่างจากที่ได้อ้อนชาวหนองคาย ในการเสียงเมื่อวันอาทิตย์ (19 ม.ค.) ว่า ไม่อยากเอาปี๊บคลุมหัวกลับมาที่หนองคาย หากแพ้เลือกตั้ง เท่ากับมี “ปี๊บ” เป็นเดิมพันในสมการการเลือกตั้งนายก อบจ.ด้วย
แต่ใครจะเป็นคนซื้อแล้วนำไปคลุมหัว นายทักษิณ หรือเพื่อไทย หรือค่ายสีส้ม พรรคประชาชน ต้องลุ้นกันวันที่ 1 ก.พ.2568 นี้
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : ตร.คาดปม "ขัดแย้งส่วนตัว" คดียิงลูกชายกำนันสมุทรสงคราม