นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม มอบหมายให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. จัดทำแผนยุทธศาสตร์-ดับไฟใต้ ฉบับรัฐบาลแพทองธาร และขีดเส้นให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ม.ค.นี้
แหล่งข่าวด้านความมั่นคง ระบุว่า เป็นไปได้ที่จะนำไปสู่การมอบนโยบายการขับเคลื่อนงานด้านความมั่นคงในทุกมิติ โดยนายภูมิธรรม กำหนดนัดประชุมร่วมกับทหาร-ตำรวจ-ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด-ขบวนการคอลเซนเตอร์-การค้ามนุษย์ และการลักลอบนำสินค้าผิดกฎหมายเข้าประเทศ ใวันที่ 30 ม.ค.นี้
นอกจากนี้ มีรายงานว่า แผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงตามหลักการของนายภูมิธรรม คือ เน้นไปที่การแก้ไขปัญหาทั้งระบบร่วมกัน โดยเฉพาะการเปิดโต๊ะพูดคุยกันของกลุ่มเห็นต่างในพื้นที่ การพูดคุยสันติสุขกับกลุ่มบีอาร์เอ็น รวมถึงการแก้ปัญหาโครงสร้างการเมืองในพื้นที่ และการป้องกันการบ่มเพาะแนวคิดการใช้ความรุนแรง เพื่อนำไปสู่การลดเหตุการณ์ความไม่สงบ
นอกจากนี้ ตามแผนฯ ยังระบุถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการพัฒนาส่งเสริมให้คนในพื้นที่มีงานทำ โดยเฉพาะคนว่างงานและนำไปสู่การเป็นแนวร่วมผู้ก่อเหตุ ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนสำคัญของการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ชายแดนใต้
ขณะเดียวกันในแผนฯ ยังเตรียมปรับลดกำลังทหาร ตำรวจ และอาสาสมัคร โดยเฉพาะกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) หลังพบว่า เปิดอัตรากำลังพลลงพื้นที่ไปจำนวนมาก แต่ในข้อเท็จจริง กลับมีกำลังพลจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในส่วนกลาง ไม่ได้ลงไปในพื้นที่จริง
รวมถึงการปรับลดการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งตามแผนฯ กำหนดไว้ว่าปี 2570 จะต้องไม่มีพื้นที่ใด อยู่ภายใต้การควบคุมด้วยกฎหมายพิเศษฉบับนี้ ส่วนกระทรวงศึกษาธิการ มีหลายหน่วยงานอยู่ในพื้นที่ แต่ไม่มีการเชื่อมโยง จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบทุกมิติ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งพบปัญหาทำให้เกิดการบ่มเพาะกลุ่มที่ใช้ความรุนแรง
ไม่ชัดเจนว่าแผนฯ ฉบับนี้ จะต้องผ่านความเห็นชอบ ครม. หรือใช้เพียงกลไกระดับ สมช. หรือ กบฉ.ที่มีนายภูมิธรรม นั่งเป็นประธานเท่านั้น และจากฐานข้อมูลของหน่วยงานด้านความมั่นคง มีรายงานว่า กลุ่มบีอาร์เอ็น มีแกนนำสูงสุดในการบังคับบัญชา-สั่งการ แต่ละด้าน 30-40 คน ส่วนอีก 100 คน เป็นระดับแกนนำสั่งการในพื้นที่ที่กระจายอยู่ตามรอยต่อแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย
ส่วนกองกำลังในการปฏิบัติการก่อเหตุรุนแรง 3,000 คน และมีแนวร่วมปฏิบัติการอีกนับหมื่นคน และอีกประมาณ 300,000 คน จะเป็นแนวร่วมวงนอก และเครือข่ายร่วมปฏิบัติการ