ประเดิมจากเปิดตัวคน “บ้านใหญ่” ม่วงศิริ ที่เคยมีบทบาททั้งในสนามใหญ่ สส.และท้องถิ่น สก. ที่มากันพร้อมหน้า
แต่บ้านใหญ่ “ม่วงศิริ” ไม่ใช่สมาชิกหน้าใหม่ของพรรคเพื่อไทย เพราะเมื่อครั้งนายทักษิณ ชินวัตร ตั้งพรรคไทยรักไทย และส่งผู้สมัครสส.ครั้งแรกปี 2544 คนจาก “บ้านใหญ่” ม่วงศิริ 2 คน ได้เป็น สส.กรุงเทพฯ พื้นที่ฝั่งธนฯ ในสีเสื้อไทยรักไทย คือนายสุวัฒน์ ม่วงศิริ และนายสากล ม่วงศิริ เรียกได้ว่า รู้จักและมีสายสัมพันธ์กันมาตั้งแต่แรก
หากย้อนหลังกลับไป บ้านใหญ่ “ม่วงศิริ” ที่ก้าวเข้าสู่เวทีการเมืองคนแรก คือ กำนันปลิว ม่วงศิริ ที่ได้เป็น สส.ครั้งแรก ตั้งแต่ชุดเลือกตั้งปี 2522 เมื่อลงสมัครเลือกตั้งซ่อมแทนนายชัยทิพย์ น่วมทนง สส.เขต 10 กรุงเทพฯ ที่เสียชีวิต ในยุคที่พรรคประชากรไทยของนายสมัคร สุนทรเวช กำลังเฟื่องฟู ต่อมา ส่งไม้ต่อให้นายประเสริฐ ม่วงศิริ ลูกชายรับช่วงแทน
จากนั้นมา ทายาทจากบ้านใหญ่ “ม่วงศิริ” ได้ก้าวเดินบนเวทีการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่นเรื่อยมา เฉพาะเวที สส. ได้สร้างสถิติ มีคนในตระกูลได้เป็น สส.กรุงเทพฯ รวมกันมากที่สุด ถึง 5 คน คือ นายปลิว ม่วงศิริ นายประเสริฐ ม่วงศิริ นายสุวัฒน์ ม่วงศิริ นายสากล ม่วงศิริ และ พ.ต.อ.สามารถ ม่วงศิริ
สะท้อนฐานการเมืองที่เข้มแข็ง แม้ใน 2 สมัยหลังสุด เลือกตั้งสส.ปี 2562 และ 2566 ไม่มีคนบ้านใหญ่ “ม่วงศิริ” เป็น สส.ในสภาเลย แต่ยังคงรักษาเก้าอี้ สก.ในการเลือกตั้ง สก. ครั้งล่าสุดไว้ได้
บ้านใหญ่ “ม่วงศิริ” อยู่กับค่ายสีแดงและได้เป็น สส.จนถึงปี 2550 ก่อนจะย้ายไปพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยเหตุสำคัญ คือ การเข้ามาของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ขุนพลฝั่งธนที่เป็นอีก 1 “บ้านใหญ่” บ้านริมคลองบางบอน ที่รุ่งเรืองทางการเมืองตั้งแต่สมัย “น้าชาติ” พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ และได้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ คุม อสมท.
หลังจากลี้ภัยการเมืองจากโดนรัฐประหารปี 2534 ไปอยู่สแกนดิเนเวีย กลับมาสั่งสมบารมีและใหญ่ยิ่งขึ้น ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์
ต่อมาเมื่อควบรวมพรรคความหวังใหม่ เข้ากับพรรคไทยรักไทย ก่อนเลือกตั้งปี 2548 แต่ “สารวัตรเฉลิม” เป็นหนึ่งใน 2 คนระดับแกนนำพรรคความวังใหม่ ที่ไม่ยอมย้ายเข้าพรรคไทยรักไทย แถมยังวิพากษ์วิจารณ์นายทักษิณอีกต่างหาก
เหตุผลส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ เมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีสมัย “น้าชาติ” นักธุรกิจคนดังเจ้าของฉายา “อัศวินคลื่นลูกที่ 3” คือ นายทักษิณ กลับเป็นคนที่ต้องไปนั่งรอคิวพบเขาในฐานะรัฐมนตรี มาก่อน
กระทั่ง เข้าร่วมพรรคพลังประชาชน ก่อนการเลือกตั้งปี 2550 ไม่กี่วัน นอกจาก ร.ต.อ.เฉลิม จะคว้าเก้าอี้รัฐมนตรีมหาดไทย ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ปาดหน้าแกนนำอีกหลายคนที่แอบจ้องตาเป็นมันอยู่ก่อนแล้ว ยังมีบทบาทและสร้างบารมีในพรรคอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในนั้น คือแบ่งกรุงเทพฯ ออกเป็น 3 โซน ลดอำนาจ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ที่เป็นเจ้าแม่กทม.ของพรรคมาตั้งแต่ไทยรักไทย และ ร.ต.อ.เฉลิม ได้คุมพื้นที่ฝั่งธนฯ ทั้งหมดแทน
ทำให้เสือ 2 ตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ บ้านใหญ่ “ม่วงศิริ” ต้องจากไป ร.ต.อ.เฉลิม จัดทัพผู้สมัครสส.ใหม่ ส่งลูกชาย นายวัน อยู่บำรุง ลงสมัคร สส.ปี 2554 ในสังกัดพรรคเพื่อไทย แต่ไม่ได้รับเลือก
แต่ตัวเขายังได้เป็นรองนายก ฯ กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และสวมบท “ป๋าดัน” กระทั่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ได้เป็นสส.กรุงเทพฯสมใจ ในการเลือกตั้งปี 2562
เลือกตั้งล่าสุด ปี 2566 นายวันสอบตก แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ยังได้เป็น สส.บัญชีรายชื่อของพรรค แต่สายสัมพันธ์กับนายทักษิณ หลังเดินกลับประเทศ เมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ไม่หวานชื่นเหมือนเดิม เพราะพลาดเป้าจำนวนสส. ทำให้การจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีไม่ลงตัว และไม่มีชื่อคนในตระกูล “อยู่บำรุง” ร่วมอยู่ด้วย กระทั่งนำไปสู่การปูดข่าวโดยเจ้าตัว อ้างมีคนบอกว่า “นายใหญ่” โพล่งคำว่า 2 พ่อลูกกวน...ด้วยกันทั้งคู่ ไม่ต้องมีตำแหน่งให้
จึงเกิดอาการท้าทายให้ขับออกจากพรรค โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่นายวัน ถูกหัวหน้าพรรคตำหนิ กรณีไปร่วมปรากฏตัวเชียร์ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้สมัครนายก อบจ.ปทุมธานี ระหว่างการนับคะแนน ก่อนจบลงด้วยนายวัน ย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะอ้าแขนรับ พร้อมเปิดตัวคนจากบ้านใหญ่ “ม่วงศิริ” เสมือนไม่ให้ราคาและความสำคัญต่อ ร.ต.อ.เฉลิมและลูกชาย อีกต่อไป ขณะที่โอกาสจะกลับพรรคเพื่อไทยของนายวัน ยังต้องเคว้งตามไปด้วย
2 บ้านใหญ่ จึงได้เวลาต้องวัดบารมีกันอีกรอบ โดยไม่รู้ว่า “บ้านไหน” จะกลับมาสร้างบารมีได้สำเร็จ ต้องรอลุ้นหาคำตอบในการเลือกตั้งสส.ครั้งต่อไป หรือไม่อาจหน้าแตกทั้ง 2 บ้านใหญ่อีกครั้ง
ซ้ำรอยเลือกตั้งปี 2566 เมื่อกระแสพรรคก้าวไกลมาแรง กระทั่งปักธงแจ้งเกิด สส.คนใหม่ น.ส.รักชนก ศรีนอก ในเขตนั้นได้ และเกือบได้ สส.ยกทั้งกรุงเทพฯ
ถือเป็นข่าวร้ายและความท้าทายยิ่งกว่าทุกครั้งของ 2 ”บ้านใหญ่”ฝั่งธนฯ
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : จับตา กกพ.แจงเเนวทางลดค่าไฟเหลือหน่วยละ 3.70 บาท