เป็นข่าวแต่ละครั้ง ต้องใหญ่ดังทั้งประเทศ ไม่ว่าจะคดีบุกรุกที่ดินอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ หรือล่าสุด คดีการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำของ “สจ.โต้ง” นายเต็มพงษ์ ฤทธิ์เดช หรือชื่อใหม่ นายชัยเมษฐ์ อดีต ส.อบจ.ปราจีนบุรี เจ้าของค่ายมวยชื่อดัง สจ.โต้งปราจีนฯ ที่มีเสือคิม สจ.โต้งปราจีนฯ เป็นนักชกคู่บารมี และยังเป็นลูกบุญธรรมของ “โกทร” นายสุนทร วิลาวัลย์ ประมุขบ้านใหญ่ตัวจริงเสียงจริง จ.ปราจีนบุรี
แม้จะมีเสียงจากคลิปการสนทนาที่ดุเดือดเข้มข้น ว่าด้วยเรื่องหักหน้าการเมืองท้องถิ่น อย่างตำแหน่ง นายก อบจ.ปราจีนบุรี ที่ปัจจุบัน “โกทร” ยังเป็นอยู่ และเสียงผู้ตายไม่พอใจที่นักการเมืองใหญ่ แสดงพฤติการณ์ในเชิงขัดขวาง ผ่านกลุ่มผู้บริหารท้องถิ่น ทั้งที่เขาทำทุกอย่างให้
ถึงขั้นถามตรง ๆ ว่า “จะเอาอย่างไรกันแน่” อันเป็นคลิปเสียงสำคัญ ที่อยู่ในมือตำรวจ และถึงมือ รรท.ผบช.ภาค 2 แล้ว แต่ดูจะสวนทางกับคำให้การกับตำรวจ ของฝ่ายเจ้าของบ้าน ที่ยืนยันว่า ไม่มีอะไรขัดแย้งกับผู้ตาย
ไม่ได้ขวาง มิหนำซ้ำ ก่อนลากลับ ยังบอกว่า ผู้ตายก้มลงกราบขาใหญ่ อีกต่างหาก ก่อนจะเจอกับคู่อริที่กินเกาเหลากันมาก่อน กระทั่งเกิดเหตุยิงถล่ม เสียชีวิตคาบันไดบ้าน รวม 22 นัด
เรื่องคดีความ ใครเป็นคนลงมือสังหารกันแน่ เป็นปกาศิตคนใหญ่ หรือแค้นส่วนตัวกับผู้ติดตามนักการเมืองใหญ่ หรือเป็นความไม่ลงตัว แตกหักกันเรื่องส่งผู้สมัครนายก อบจ. หรือแม้แต่ หากเป็นแค้นส่วนตัว กับผู้ติดตามอย่างที่ว่าจริง ปกติมืออาชีพที่มีประสบการณ์ จะไม่ทำอะไรในบ้านเจ้านาย ค่อยตามไปทำหรือรอเวลาอื่นค่อยลงมือก็ได้
แต่กรณีนี้ ยิงถล่มฆ่ากันในบ้านอดีตรัฐมนตรี เป็นเรื่องที่ตำรวจภาค 2 และตำรวจปราจีนฯ ต้องคลี่คลาย ดำเนินการให้กระจ่าง
แต่สำหรับ “โกทร” ครั้งนี้ถูกควบคุมตัวไปสอบปากคำข้ามคืนข้ามวันเช่นกัน แต่หากจะพูดถึงในฐานะประมุขบ้านใหญ่ ต้องยอมรับว่า น้อยคนจะทำได้อย่างเขา เพราะเคยเจอคดีความหลายคดี แต่เพียงแค่เดินเฉียดปากคุกยังไม่ได้เข้าไปอยู่
ไม่ต่างจากเรื่องจ่อถูกถอดถอนออกจากนายก อบจ. แต่จนแล้วก็ยังรอด มีโดนอย่างเดียวที่ไม่รอด คือถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง จากการถูกใบแดงจาก กกต.ในการเลือกตั้ง สส.ปี 2550 ส่งผลให้พรรคมัชฌิมาธิปไตย ของ “บ้านใหญ่สุโขทัย” ต้องถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค กับอีก 2 พรรคใหญ่ พลังประชาชน และพรรคชาติไทย เมื่อปี 2551
สำหรับเรื่องโดนคดีบุกรุกที่ดินอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และคดีสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐออกโฉนดที่ดินเขตอุทยานเขาใหญ่ แต่คดีหนึ่งหมดอายุความไป ตั้งแต่วันที่เขาสลัดหลุดการติดตามของตำรวจ ที่ซุ่มตามตั้งแต่โรงแรมใหญ่แถวหลักสี่ กรุงเทพฯ
ขณะ “โกทร” มุ่งหน้ากลับปราจีนฯ ขณะรอศาลอนุมัติหมายจับ ในวันที่คดีจะหมดอายุความ 13 มิ.ย.2565 ด้วยตำรวจอ้างว่า มีรถบรรทุกขวาง เพราะกำลังมีก่อสร้างทาง
แม้ทาง ป.ป.ช.ที่ทำสำนวนคดีนี้ จะทำเรื่องขออนุมัติหมายจับใหม่รอบ 2 โดยอ้างกฎหมายป.ป.ช.ฉบับใหม่ ไม่ให้นับอายุความขณะหลบหนี แต่สุดท้าย ศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 2 ก็ยกฟ้องทั้งนายสุนทร และนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ ลูกสาว และเป็นอดีตรัฐมนตรีศึกษาฯ เมื่อปี 2566
คดีรุกอุทยานเขาใหญ่ ยังมีอีกหนึ่งคดีที่เป็นสำนวนของดีเอสไอ อัยการพิเศษเคยนัดส่งฟ้องนายสุนทรและพวก 11 ราย เมื่อต้นปี 2567 แต่อัยการสั่งให้พนักงานสอบสวนเพิ่มเติม รอนัดใหม่ 28 ก.พ.2567 แต่จนถึงขณะนี้ ไม่มีข้อมูลความคืบหน้าในสำนวนคดีนี้ว่าไปถึงไหนแล้ว
ขณะที่นายสุนทร เคยให้สัมภาษณ์สื่อ ยืนยันว่าเป็นคนรักป่า รักธรรมชาติ การซื้อที่ดินแปลงที่ถูกกล่าวหาว่า รุกป่า ซื้อมาจากชาวบ้าน ทั้งยังมีข่าววงในว่า นายสุนทร สามารถหาระดับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ตั้งแต่ปี 2545 มาเป็นพยานยืนยันว่า เป็นผู้ถือเอกสารสิทธิ์คนแรก ก่อนขายต่อให้นายสุนทรจริง
ยังไม่รวมคดีปริศนา เมื่อปี 2560 เจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งรองผู้ว่าฯ หัวหน้าอุทยานเขาใหญ่และเจ้าหน้าที่ ตำรวจและทหาร ร่วมร้อยนาย เข้าปิดล้อมตรวจค้นอุทยานสุนทรสวนไดโนเสาร์ ฝั่งพื้นที่จ.ปราจีนบุรี พบทั้งรีสอร์ท สวนน้ำ และหุ่นไดโนเสาร์ เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว สร้างบุกรุกในพื้นที่อุทยานเขาใหญ่โดยไม่ได้รับอนุญาต แต่กลับไม่มีใครแสดงตนเป็นเจ้าของ
นายสุนทร ยังเป็นนายก อบจ.ปราจีนฯ ที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูล เรื่องครอบครองที่ดินอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และป่าไม้ถาวรโดยมิชอบ ซึ่งปกติแล้ว เมื่อศาลสั่งประทับรับฟ้อง ผู้ถูกร้องต้องยุติการทำหน้าที่ทันที แต่กรณีนายสุนทร แม้ศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อครั้งประทับรับฟ้องแล้ว
กระทั่งถึงปัจจุบัน ก็ไม่ได้มีคำสั่งจากมหาดไทย ให้ยุติการทำหน้าที่ โดยกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ สถ.อ้างว่า เป็นเรื่องของ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งมีข่าวว่า ได้ตั้งรองผู้ว่าฯ คนหนึ่งเป็นประธานสอบ แต่ข้อสรุปยังไม่ชัดเจน หรืออาจเป็นผลในเชิงบวก ทำให้ “โกทร” ยังนั่งนายก อบจ.ถึงทุกวันนี้
หลังถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองจากใบแดงเลือกตั้งปี 2550 เมื่อพ้นกำหนด “โกทร” ได้ลงสมัครเป็นนายก อบจ.ปราจีนฯ แทนนางบังอร วิลาวัลย์ น้องสาว ที่โดนคดีฮั้วซ่อมถนนและขุดคลอง15 โครงการ สุดท้าย ศาลยกฟ้องนางบังอรกับพวก เมื่อปี 2566 รอดคุกเช่นกัน
ปราจีนบุรี เคยมีพื้นที่ติดกับชายแดนกัมพูชา สมัยการสู้รบภายในของกัมพูชา มีการหลั่งไหลอพยพหนีภัยสงครามของผู้คนจำนวนมาก พร้อมทรัพย์สินเงินทอง และอาวุธสงคราม
โดยเฉพาะอาร์พีจี ไหลทะลักเข้าฝั่งไทย และต่อมาได้กลายเป็นด่านการค้าระหว่างไทยกัมพูชามีมูลค่ามหาศาล ก่อนจะแยก จ.สระแก้วออกไป
ปราจีนฯ ยังเป็นศูนย์กลางพื้นที่ปลูก และแหล่งผลผลิตผลไม้นานาชนิดที่ขึ้นชื่อที่สุดแห่งหนึ่งของไทย และเป็นทำเลทองลงทุน ของเขตอุตสาหกรรมและโรงงานประเภทต่าง ๆ หลังการเกิดขึ้นของอีสเทิร์นซีบอร์ด
เนื่องจากราคาที่ดินถูกกว่า จ.ชลบุรี และระยอง แต่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือขนส่งสินค้า จึงมีการลงทุนทั้งจากไทยและต่างชาติ กลายเป็นเมืองที่มีสภาพทางเศรษฐกิจไม่ธรรมดา มีผลประโยชน์มากมาย ขณะที่ อบจ.ปราจีนฯ มีงบประมาณต่อปี หลายร้อยล้านบาท
ในอดีตเคยมีตระกูลใหญ่หลายบ้าน แต่ปัจจุบัน เหลือเพียงตระกูลวิลาวัลย์ ที่โดดเด่นเป็นหนึ่งและมีบทบาทอย่างแท้จริง ขณะที่ “ภุมมะกาญจนะ” ที่เคยเป็นอีกหนึ่งบ้านใหญ่ ทายาทปัจจุบัน คือนายชยุต แต่ล่าสุดไม่ได้เป็น สส. ก็อยู่ในปีกของนายสุนทร บ้านใหญ่ค่ายสีน้ำเงิน แห่งปราจีนฯ
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : "ภรรยา สจ.โต้ง" ยื่นกองปราบขอโอนคดี-คุ้มครองพยาน
ยึดสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์กว่า 50 ตัว ซุกบ้านหรูริมน้ำแม่กลอง
"แสวง" ยันคดียิง "สจ.โต้ง" เสียชีวิต ไม่กระทบจัดเลือกตั้งท้องถิ่น